ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ลงโทษจำคุก 1 ปี ของกลางริบโจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "พิเคราะห์ฎีกาโจทก์และพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยโดยตลอดแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้เสียหายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน และรุกรานเข้าทำร้ายจำเลยจำเลยแกว่งขวดแตกไปมาเพื่อป้องกันตัว ขวดไปถูกผู้เสียหายครั้งเดียวแล้วจำเลยเดินหนีไป การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 พิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยโกรธผู้เสียหายจึงใช้ขวดของกลางแทงเอา ไม่เข้าลักษณะป้องกันตามกฎหมาย จำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายไม่มีเจตนาฆ่า พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 เห็นว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า ซึ่งมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าจำเลยใช้ขวดแตกเป็นรูปปากฉลามแหลมคมเป็นอาวุธร้ายแรงตามสภาพแทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าอกอาจทำให้ถึงตายได้ เป็นการกระทำโดยเจตนาขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาเฉพาะฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุตามกฎหมายหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฟังได้ว่าผู้เสียหายมีบาดแผลที่หน้าอกขวาบริเวณช่องซี่โครงที่สี่แผลยาว 6 นิ้ว ลึกถึงเยื้อหุ้มปอด มีเลือดไหลออกจาก ปอดเข้าไปในบริเวณเยื้อหุ้มปอด ดังปรากฏตามผลการตรวจพิสูจน์บาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องอันเกิดจากการกระทำของจำเลย ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 12 วัน แล้วกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านอีกประมาณ 1 เดือนแผลจึงหาย อันเป็นการเจ็บป่วยประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินยี่สิบวันมูลเหตุที่จะเกิดคดีนี้ผู้เสียหายเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหาย จำเลยกับพวกต่างร่วมวงดื่มสุรากันจนเมาจากที่อื่นแล้ว และพากันไปดื่มสุราต่อที่บ้านนายคำมีอีก ทุกคนมีอาการเมาสุรา มีการปาขวดสุรา ผู้เสียหายจับขวดสุรามากระแทกกับพื้นดินขวดไม่แตก จำเลยแย่งเอาขวดไปกระแทกกับเสาขวดแตกเป็นปากฉลาม แล้วจำเลยใช้ขวดนั้นแทงหน้าอกผู้เสียหาย แต่กลับตอบคำถามค้านสมคำเบิกความของจำเลยว่า เมื่อผู้เสียหายเอาขวดกระแทกพื้นดินไม่แตกแล้วขวดแกว่งไปชนเสาแตก จำเลยแย่งเอาขวดนั้นไปและแกว่งขวดห้ามไม่ให้ผู้เสียหายเข้าไป ผู้เสียหายเข้าไปแย่งขวดคืน ขวดจึงบาดเอา ซึ่งจำเลยเบิกความว่า จำเลยแย่งขวดจากผู้เสียหายโดยจับคอขวดกระชากมาอย่างแรง ขวดไปกระทบเสาแตก ผู้เสียหายชกหน้าจำเลย จำเลยแกว่งขวดป้องกันไม่ให้ผู้เสียหายเข้ามาทำร้ายอีก ขวดจะถูกผู้เสียหายตรงไหนจำเลยไม่ทราบ นายคำมีเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะกัน และนายอ่อนเบิกความว่าผู้เสียหายรินสุราหกจำเลยไม่พอใจเกิดโต้เถียงกัน ได้พิจารณาคำเบิกความดังยกขึ้นกล่าวประกอบจำนวนสุราที่ผู้เสียหาย จำเลยกับพวกตั้งวงดื่มกันที่บ้านนายหนูหมดไป 6 ขวด ที่บ้านนายชาย 1 ขวด แล้วยังไปดื่มต่อที่บ้านนายคำมีอีก เชื่อว่าเหตุเกิดขึ้นเพราะผู้เสียหายกับจำเลยต่างเมาสุราแล้วโต้เถียงทะเลาะกัน ส่วนคำเบิกความของผู้เสียหายเห็นว่าจะฟังเอาเป็นแน่นอนประการใดไม่ได้ว่าบาดแผลของผู้เสียหายนั้นเกิดจากจำเลยแทงหรือเพราะผู้เสียหายเข้าไปแย่งขวดสุราที่แตกขณะที่จำเลยกวัดแกว่งอยู่แล้วขวดบาดเอา เหตุที่เป็นดังนี้อาจเป็นเพราะขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเมาจนจำเหตุการณ์ไม่ได้ หรือมิฉะนั้นก็เพราะผู้เสียหายได้รับค่าสินไหมทดแทนจำนวน 9,500 บาทจากจำเลยจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงตอบคำถามค้านให้สมข้อต่อสู้ของจำเลยเสียเลย ศาลต้องพิจารณาหาความจริงในข้อนี้ จากคำเบิกความของนยแพทย์วีระผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายประกอบรายงานการตรวจพิสูจน์บาดแผลท้ายฟ้อง ปรากฏว่าผู้เสียหายมีบาดแผลที่หน้าอกขวาตรงช่องซี่โครงที่สี่ยาว 6 นิ้ว ลึกถึงช่องเยื้อหุ้มปอด ซึ่งไม่ถูกซี่โครงเลยหากเป็นบาดแผลเกิดจากจำเลยกวัดแกว่งขวดแตกบาดแผลน่าจะถูกซี่โครงบ้าง ลักษณะบาดแผลของผู้เสียหายเช่นนี้เชื่อว่าเกิดจากจำเลยแทงอันมีสาเหตุมาจากโต้เถียงทะเลาะกันดังวินิจฉัยแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงสาหัสจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี สาเหตุเกิดจากการเมาสุราด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วทะเลาะวิวาทกันในวงสุรานั้นเอง โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ซึ่งผู้เสียหายก็มีส่วนก่อเหตุอยู่ด้วยดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นเงิน 9,500 บาทจนเป็นที่พอใจผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความแก่จำเลยตามหลักฐานเอกสารหมาย ล.1ทั้งจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน มีอาชีพทำนาเป็นหลักเป็นฐานควรเปิดโอกาสให้จำเลยสักครั้งหนึ่ง เพื่อกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนดสามปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์