โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำแผนกอาวุธปืน กองทะเบียน กรมตำรวจ มีหน้าที่ลงหลักฐานในสมุดทะเบียนอาวุธปืนและเขียนกรอกข้อความลงในใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ได้ร่วมกันกรอกข้อความลงในสมุดทะเบียนอันเป็นหลักฐานเท็จและปลอมใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ส่วนจำเลยที่ ๓ ได้ช่วยเหลือให้ความสะดวกและร่วมรู้เห็นในการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑, ๑๖๒, ๘๓, ๘๖, ๒๖๘
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันปลอมใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน โดยจำเลยที่ ๓ เป็นผู้สนับสนุน พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑, ๑๖๒, ๘๓ ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา ๑๖๑ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุกคนละ ๓ ปีจำเลยที่ ๓ มีความผิดฐานผู้สนับสนุน ลงโทษจำคุก ๒ ปี ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัย และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยจำเลยทั้งสามไม่มีความผิดข้อหานี้ และให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยสำหรับข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑ พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ส่วนจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๖๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์กล่าวหาจำเลยว่ากระทำผิดเป็นสามกรณีด้วยกัน กล่าวคือ ตามฟ้องข้อ ก. กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้บังอาจสมคบร่วมกันกรอกข้อความลงในสมุดทะเบียนคุมอาวุธปืนเป็นเท็จ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ ฟ้องข้อ ข. กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันปลอมใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.๔) โดยอาศัยโอกาสที่จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่กรอกข้อความในเอกสารดังกล่าว เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๑ และฟ้องข้อ ค. กล่าวหาจำเลยที่ ๓ ว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และใช้เอกสารปลอม คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ ว่า ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดตามฟ้องข้อ ก.หรือไม่ คงวินิจฉัยเฉพาะฟ้องข้อ ข. เท่านั้น และโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดตามฟ้องข้อ ก.ด้วยศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ เมื่อไม่มีการวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ กระทำผิดตามฟ้องข้อ ก. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ แล้ว จำเลยทั้งสามก็ไม่อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ ส่วนฟ้องข้อ ข. ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๒ ด้วยโจทก์ฎีกาสรุปได้ว่า พยานหลักฐานโจทก์ตามที่นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑เป็นผู้กรอกข้อความในเอกสารหมาย จ.๔ คือสมุดทะเบียนคุมอาวุธปืนจริงและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้เขียนกรอกข้อความในเอกสารหมาย ป.จ.๒ คือใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.๔) จริง เห็นได้ว่าฎีกาโจทก์เป็นฎีกาที่มิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๖ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
สำหรับฎีกาจำเลยที่ ๓ ในปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ เคลือบคลุมหรือไม่นั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ ๓ ได้บังอาจสมคบร่วมกันกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกและร่วมรู้เห็นในการที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันกระทำผิด โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ ๓ กระทำการอย่างไร อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในการปลอมเอกสารหรือทำเอกสารเท็จ เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ จึงลงโทษจำเลยที่ ๓ ในฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดไม่ได้ ฎีกาจำเลยที่ ๓ ฟังขึ้นไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ ๓ ในประเด็นอื่นต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์