โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91, 371, 376 ริบอาวุธปืน ซองกระสุนปืน กระสุนปืน และปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 376 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน จำคุก 10 วัน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน 10 วัน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน 5 วัน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนยังไม่เพียงพอแก่การพิจารณาคดีว่าปืนแบลงค์กันของกลางเป็นอาวุธปืนตามมาตรา 4 (1) หรือสิ่งเทียมอาวุธปืนตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ จึงมีคำสั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 2565 ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าว โดยให้หมายเรียกนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่ที่เกิดเหตุมาไต่สวน และให้หมายเรียกปืนแบลงก์กันของกลางมาประกอบการไต่สวนด้วย เสร็จแล้วให้ส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 2
ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานเพิ่มเติมแล้วนำส่งสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ภาค 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและคืนของกลางแก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่าปืนแบลงค์กันของกลางเป็นอาวุธปืนตามบทนิยามของคำว่า "อาวุธปืน" ในมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุปืน พ.ศ. 2490 หรือไม่ แม้โจทก์ฟ้องว่าปืนแบลงค์กันของกลางเป็นอาวุธปืนและจำเลยให้การรับสารภาพ ซึ่งศาลอาจพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรและฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนตามฟ้องได้โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงว่าปืนแบลงค์กันของกลางเป็นอาวุธปืนตามมาตรา 4 (1) หรือสิ่งเทียมอาวุธปืนตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 แล้วส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อวินิจฉัยข้อกฎหมายต่อไป อันเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (1) และศาลชั้นต้นก็ได้ดำเนินการไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมเสร็จแล้ว ศาลฎีกาย่อมรับฟังพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยว่า ปืนแบลงค์กันของกลางเป็นอาวุธปืนหรือสิ่งเทียมอาวุธปืนตามบทนิยามของกฎหมายหรือไม่ได้ เห็นว่า จากสภาพปืนแบลงค์กันและผลการตรวจสภาพปืนแบลงค์กันของนายทะเบียนอาวุธปืนและผู้เชี่ยวชาญทั้งสองปาก ทำให้ฟังข้อเท็จจริงได้เป็นยุติว่า ปืนแบลงค์กันของกลางไม่มีการดัดแปลงลำกล้อง ยังมีเหล็กแกนที่แข็งแรงปิดกั้นอยู่ภายในลำกล้อง ตามสภาพของปืนแบลงค์กันของกลางดังกล่าวไม่สามารถบรรจุกระสุนปืนจริงเข้าไปและใช้ยิงได้ จึงเป็นเพียงแค่มีรูปแบบและหลักการทำงานมาจากอาวุธปืนจริง แต่ไม่สามารถส่งกระสุนปืนออกมาจากลำกล้องได้ จะมีเพียงรูระบายแก๊สขนาดเล็กออกจากปลายกระบอก ไม่มีอานุภาพความรุนแรงทำอันตรายถึงชีวิตได้ อันเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนที่มีวัตถุประสงค์ใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ การกีฬา การปล่อยตัวนักกีฬา การสะสมและการฝึกซ้อมก่อนมีอาวุธปืนจริงเท่านั้น จึงไม่เข้าตามบทนิยามคำว่า "อาวุธปืน" ในมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ที่ว่า "อาวุธปืน" หมายความรวมตลอดถึงอาวุธทุกชนิดซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืนโดยวิธีระเบิดหรือกำลังดันของแก๊สหรืออัดลมหรือเครื่องกลไกอย่างใด ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของพลังงาน และส่วนหนึ่งส่วนใดของอาวุธนั้น ๆ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า ปืนแบลงค์กันของกลางใช้วัสดุไม่แข็งแรงคงทนเหมือนอาวุธปืนจริง สภาพภายในลำกล้องมีแกนเหล็กขวางไม่อาจใช้ส่งหัวกระสุนปืนออกมาทางลำกล้องปืนตามบทนิยามได้ ไม่สามารถใช้ร่วมกับกระสุนปืนจริงได้ เมื่อยิงกับกระสุนปืนแบลงค์กันมีผลเพียงเกิดเสียง เปลวไฟ แรงระเบิดและแรงดันจากการเผาไหม้ดินดอกไม้เพลิงพุ่งออกมาทางปลายลำกล้องเท่านั้น ไม่มีหัวกระสุนปืนออกจากปากลำกล้องด้วย แม้เครื่องกระสุนปืนจะประกอบด้วยหลาย ๆ ส่วนตามบทนิยาม แต่หัวกระสุนปืนเป็นสาระสำคัญของเครื่องกระสุนปืนที่ทำอันตรายได้ แสดงให้เห็นว่าจุดประสงค์ในการทำหรือประกอบปืนแบลงค์กันขึ้นโดยมิได้ให้เป็นอาวุธปืนซึ่งใช้ส่งเครื่องกระสุนปืน เพียงแต่เป็นการทำประกอบขึ้นโดยประสงค์ใช้ยิงให้เกิดเสียงดังและมีเปลวไฟจากการยิงเท่านั้น ส่วนเมื่อมีการยิงแล้วเกิดการระเบิดหรือกำลังดันของดินดอกไม้เพลิง ไม่ได้เกิดจากหัวกระสุนปืน ผลจากการยิงในระยะประชิดก็ไม่แตกต่างกับการจุดประทัดหรือดอกไม้เพลิงในระยะประชิดซึ่งสามารถทำอันตรายได้เช่นกัน แต่หากไม่ได้ยิงในระยะประชิดหรือเกินรัศมีแรงระเบิดหรือกำลังดันของดินดอกไม้เพลิงก็ไม่ก่อให้เกิดอันตรายได้ และหากใช้ปืนแบลงค์กันโดยวิธีปกติ ไม่มีเจตนาจ่อยิงในระยะประชิด เปลวไฟ แรงระเบิดหรือแรงดันที่เกิดจากการยิงก็ไม่มีอานุภาพหรือความรุนแรงที่สามารถทำอันตรายแก่กาย ชีวิต หรือวัตถุได้ดังเช่นอาวุธปืนทั่วไป ปืนแบลงค์กันของกลางจึงไม่เป็นอาวุธปืน แต่เมื่อโดยสภาพของปืนแบลงค์กันของกลางประกอบไปด้วยลำกล้อง เครื่องลูกเลื่อน ชุดลั่นไก มีรูปร่างลักษณะภายในและภายนอกเช่นเดียวกับอาวุธปืนทั่วไป คงแตกต่างกันที่ไม่สามารถส่งหัวกระสุนปืนออกไปได้ การมีรูปร่างลักษณะอันน่าจะทำให้คนทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นอาวุธปืนโดยสภาพ จึงเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนตามมาตรา 4 (5) แห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย เมื่อปืนแบลงค์กันของกลางไม่ใช่อาวุธปืน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชนตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน