คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีฝิ่นดิบหนัง ๑๖ หน ราคา ๑๐๑ บาท ๔๔ สตางค์ไว้โดยมิได้รับอนุญาตขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ฝิ่น พ.ศ.๒๔๗๒ มาตรา๔๓,๖๖ และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๖ แต่โจทก์ไม่นำสืบว่าราคาฝิ่นที่รัฐบาลจำหน่ายในท้องที่ในขณะเกิดเหตุนั้นเป็นราคาเท่าไดคงมีแต่ราคาฝิ่นซึ่งปรากฏในคำฟ้องของโจทก์เท่านั้น
นายลี้ให้การรับเพียงว่าได้มีฝิ่นไว้จริงตามจำนวนที่ปรากฏในฟ้องส่วนนายจันทร์จำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อหา
ศาลขั้นต้นเห็นว่าจำเลยมีผิดตาม พ.ร.บ. ฝิ่น(ฉะบับที่ ๔ ) พ.ศ.๒๔๘๑ ม.๖ ปรับคนละ ๕๐๗ บาท ๒๐ สตางค์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ไม่มีพะยานให้การถึงราคาฝิ่นเลยมีแต่คำโจทก์กล่าวฝ่ายเดียวในฟ้องเท่านั้นจะถือเอาราคาตามฟ้องมาเป็นเกณฑ์ปรับจำเลยไม่ได้เพราะตาม พ.ร.บ. ฝิ่น (ฉะบับที่ ๔) พ.ศ.๒๔๘๑ ม.๖.มีว่าราคาฝิ่นอันจะตั้งเป็นเกณฑ์คำนวณค่าปรับนั้นให้ถือเอาราคาฝิ่นซึ่งรัฐบาลขายในท้องที่และเวลาเกิดเหตุเข่นนี้
แม้นายสีจะมิได้อุทธรณ์ก็เป็นเหตุในลักษณะคดีพิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยคนละ ๕๐ บาท
โจทก์ฏีกา
ศาลฏีกาเห็นว่าราคาฝิ่นในคดีนี้มีปรากฎแต่ในคำฟ้องของโจทก์เท่านั้นไม่มีคำพะยานโจทก์ปากใดให้การถึงราคาฝิ่น
รายนี้เลยฉะนั้นจึงไม่ปรากฏว่าราคาฝิ่นซึ่งรัฐบาลจำหน่ายในทอ้งที่ในขณะเกิดเหตุนั้นเป็นราคาเท่าใดแน่จะถือเอาราคาในคำฟ้องเป็นเกณฑ์กำหนดโทษปรับจำเลยไม่ได้และจะถือว่านายลีจำเลยให้การรับในราคาฝิ่นที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่
ได้จึงพิพากษาปรับจำเลยคนละ ๕๐ บาทตามศาลอุทธรณ์