โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ตัดฟันไม้ยางซึ่งเป็นประเภทหวงห้ามในป่าตำบลบางประมุง โดยไม่ได้รับ อนุญาตและเสียค่าภาคหลวงขอให้ลงโทษตาม พรบ รักษาป่า พ.ศ. ๒๔๕๖ กฎข้อบังคับวางระเบียบจัดการรักษาป่า พ.ศ. ๒๔๕๖ ข้อ ๑๖ ประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ประกาศสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ลงวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๙
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์หาได้กล่าว่า ป่าตำบลบางประมุงเป็นป่าซึ่งสมุหเทศาภิบาลได้ประกาศเป็นเขตต์หวงห้ามไม่ และเห็นว่า ข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ โจทก์จะต้องบรรยายมาในฟ้อง เมื่อไม่ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วก็จะสืบนอกประเด็นฟัง ลงโทษจำเลยไม่ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่สืบพะยาน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้กล่าวชัดแล้วว่า จำเลยบังอาจตัดฟันไม้ยางซึ่งเป็นไม้ประเภทหวงห้ามในป่าตำบลบางประมุง จังหวัดนครสวรรค์ คำว่าตำบลบางประมุงเป็นตำบลที่หวงห้ามไม้ยาง เพราะถ้าตำบลที่หวงห้ามไม้ยางไม้ยางในตำบลนั้นก็ไม่ใช่ไม้ประเภทหวงห้ามพิพากษาศาลชั้นต้นสืบพะยานโจทก์ จำเลยแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตาม พรบ รักษาป่า พ.ศ. ๒๔๕๖ มาตรา ๕ ข้อ ๑ และกฎข้อบังคับรักษาป่า พ.ศ. ๒๔๕๖ ข้อ ๒ และข้อ ๑๗ นั้น โจทก์จะต้องกล่าวในฟ้องให้เป็นที่เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า จำเลยได้ตัดไม้ประเภทหวงห้ามจากป่าซึ่งสมุหเทศาภิบาลได้ประกาศว่าเป็นเขตต์หวงห้ามแล้ว และประกาศสมุหเทศาภิบาลในเรื่องเช่นนี้ เป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่โจทก์จะต้องกล่าวบรรยายให้ปรากฏในฟ้องก็ไม่มีประเด็นที่โจทก์จะนำสืบในข้อนี้คดีจึงฟังไม่ได้ว่าสมุหเทศาภิบาลได้ประกาศโฆษณาให้ราษฎรในท้องที่ซึ่งโจทก์หานั้นทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๓ เดือน เมื่อ โจทก์สืบไม่ได้เช่นนั้น ก็เป็นอันฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้ตัดไม้ประเภทหวงห้ามจากป่าซึ่งได้ประกาศเป็นเขตต์หวงห้ามจากป่าซึ่งได้ประกาศเป็นเชตต์หวงห้ามอันจำเลยพังมีผิด พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น