โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 9, 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1), 9 วรรคหนึ่งและวรรคสอง, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงิน จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 10 กระทง เป็นจำคุก 100 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 66 ปี 8 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1) (2), 9 วรรคสอง, 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เฉพาะตามฟ้องข้อ 1.1 และข้อ 1.10 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีระวางโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันฟอกเงิน จำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 2 ปี ยกฟ้องโจทก์ข้อ 1.2 ถึงข้อ 1.9 และข้อ 1.11
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2561 เจ้าพนักงานตำรวจสืบสวน ตำรวจภูธรภาค 1 ร่วมกันจับกุมนายคชา ตามหมายจับของศาลจังหวัดสมุทรปราการในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) และได้มีการสืบสวนขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมนายไพบูลย์ นายสิทธิพงค์ และนางสาวสุชาดา โดยกล่าวหาว่าร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 61,054 เม็ด และชนิดเกล็ดน้ำหนักประมาณ 589 กรัม โทรศัพท์เคลื่อนที่ 7 เครื่อง กับทรัพย์สินอื่นหลายรายการเป็นของกลาง และวันที่ 2 เมษายน 2561 จับกุมนายอภิชิต และนายรณชัย ด้วยข้อกล่าวหาเดียวกัน พร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนชนิดเม็ด 1,832 เม็ด ที่แตกหักเป็นซีกและป่นน้ำหนักประมาณ 10 กรัม และชนิดเกล็ด 4 ซอง น้ำหนักประมาณ 37 กรัม เป็นของกลาง นางสาวทับทิม มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 024-3-67xxx-x นางสาวเมวิกา มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 024-1-72xxx-x นางสาวสุกัญญา มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 017-1-87xxx-x นางสาวอภิญญา มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 271-2-17xxx-x นางสาวเมวิสา มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 030-3-38xxx-x ส่วนจำเลยมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 176-2-55xxx-x ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย นางสาวทับทิม และนางสาวเมวิกา โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันฟอกเงิน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันตามบันทึกการจับกุม ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา และนางสาวเมวิสาแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับพวกกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจำเลยกับพวกสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกับนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา และนางสาวเมวิสากระทำความผิดฐานฟอกเงินตามที่ได้สมคบกัน อันเป็นความผิดหลายกรรมตามฟ้องนั้น โจทก์มีพันตำรวจโทอุดมรัตน์ รองผู้กำกับการ กองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด เป็นพยานเบิกความถึงพฤติการณ์ก่อนจับกุมจำเลยว่า สืบเนื่องมาจากหลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนายคชาแล้ว พยานได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายคชาพบข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์เรื่องนัดหมายส่งมอบยาเสพติดกัน จึงขยายผลการสอบสวนจนเจ้าพนักงานตำรวจสามารถติดตามจับกุมนายไพบูลย์ นายสิทธิพงค์ นายอภิชิต และนายรณชัยได้พร้อมของกลางหลายรายการ และจากการตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายไพบูลย์ยังพบข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์แจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมให้สมาชิกในกลุ่มไลน์ทราบจึงดำเนินการสืบสวนต่อมา และจากการสืบสวนต่อมาพบว่ามีกระแสเงินหมุนเวียนในบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาจำนวนมาก โดยเป็นการรับโอนเงินจากที่ต่าง ๆ และเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากที่ธนาคารสาขาต่าง ๆ ในตัวอำเภอแม่สายซึ่งเป็นการผิดปกติ จึงได้แจ้งให้พันตำรวจโทปัญญา ทราบเพื่อสะกดรอยติดตาม และโจทก์มีพันตำรวจโทปัญญา สารวัตรกองกำกับการ 3 กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำการสืบสวนพฤติกรรมการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องกับเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดของนายไพบูลย์กับพวกที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้แล้ว โดยในเบื้องต้นทราบว่านายไพบูลย์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมซึ่งทำงานที่ห้างสรรพสินค้า ห. ในตัวอำเภอแม่สาย พยานกับพวกจึงเฝ้าติดตามดูพฤติกรรมของนางสาวทับทิมอย่างต่อเนื่อง ต่อมาวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ช่วงพักเที่ยง พยานเห็นนางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาซึ่งทำงานที่เดียวกัน ขับรถจักรยานยนต์ไปธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่สาย นางสาวทับทิมเข้าไปในธนาคารเพียงคนเดียว ไม่นานก็ถือซองสีน้ำตาลออกมายื่นให้นางสาวเมวิกาแล้วพากันกลับไปยังที่ทำงาน แล้วนางสาวเมวิกานำซองสีน้ำตาลไปเก็บที่ตู้ล็อกเกอร์ของห้างสรรพสินค้า ห. สำหรับให้พนักงานใช้เก็บสัมภาระ จนเวลาประมาณ 18 นาฬิกา นางสาวเมวิกาได้ไปนำซองสีน้ำตาลดังกล่าวออกมามอบให้จำเลยซึ่งทำงานที่ห้างสรรพสินค้า ห. เช่นกัน ก่อนที่จำเลยจะนำซองสีน้ำตาลใส่กระเป๋าเป้ให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งนำข้ามไปยังฝั่งประเทศเมียนมา วันที่ 8 มีนาคม 2561 พยานกับพวกเฝ้าดูอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้า ห. เวลาประมาณ 17 นาฬิกา เห็นจำเลยเดินไปเปิดตู้ล็อกเกอร์ หยิบสิ่งของคล้ายซองใส่เงินนำใส่กระเป๋าแล้วขับรถจักรยานยนต์ไปที่ร้านกาแฟชื่อ ฮ. ของนางสาวสุกัญญา และจากการสืบสวนพบว่าจำเลยไปที่ร้านกาแฟดังกล่าวบ่อย ๆ จากนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปทางตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย แล้วไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีก วันรุ่งขึ้นจำเลยก็มีพฤติการณ์ทำนองเดียวกัน เพียงแต่เมื่อจำเลยเปิดตู้ล็อกเกอร์นำซองสีน้ำตาลออกมาและเดินออกไปทางบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า ห. แล้ว พยานตามจำเลยไปไม่ทัน ครั้นวันที่ 21 มีนาคม 2561 ช่วงเวลาบ่าย พยานเห็นนางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาขับรถจักรยานยนต์ไปที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) อีกครั้ง นางสาวทับทิมเข้าไปในธนาคารและกลับออกมาพร้อมซองสีน้ำตาลแล้วเดินทางกลับ จนกระทั่งเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พยานเห็นจำเลยเดินไปเปิดตู้ล็อกเกอร์พร้อมกับหยิบซองสีน้ำตาลใส่กระเป๋าแล้วเดินทางมุ่งหน้าไปยังพรมแดนแม่สาย เมื่อทำพิธีการที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองเสร็จแล้วจึงเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งประเทศเมียนมา พยานจึงทำรายงานเสนอพนักงานสอบสวนตามบันทึกผลการสืบสวน ซึ่งปรากฏรายละเอียดการสืบสวนและพฤติการณ์ของนางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาเป็นระยะ รวมทั้งสำเนาข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชันไลน์ของนายไพบูลย์กับพวกที่พาดพิงถึงการโอนเงินและเลขที่บัญชีของนางสาวทับทิมอันเป็นมูลเหตุให้มีการสืบสวนขยายผลต่อมา กับมีรายละเอียดการโอนและรับโอนเงินในบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา และนางสาวเมวิสามากมายหลายรายการและจากท้องที่ต่าง ๆ กัน บางวันมีการทำธุรกรรมกันหลายครั้ง แต่ละรายการเป็นเงินจำนวนมากตั้งแต่หลักหลายหมื่นบาท หลายแสนบาทถึงล้านบาท ซึ่งมีทั้งภาพถ่ายบุคคลและสำเนาเอกสารสอดคล้องกับแต่ละเหตุการณ์ อันแสดงให้เห็นว่าเจ้าพนักงานผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างดำเนินการสืบสวนไปตามหน้าที่อย่างจริงจังโดยละเอียดและเป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับเรื่อยมา กับโจทก์มีร้อยตำรวจเอกวีรศักดิ์ รองสารวัตร และพันตำรวจโทธนา รองผู้กำกับการ กองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 เป็นพยานเบิกความว่า ร้อยตำรวจเอกวีรศักดิ์เป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยได้ที่ร้าน ฮ. ส่วนพันตำรวจโทธนาร่วมจับกุมนางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกา แล้วพาไปตรวจค้นที่ห้างสรรพสินค้า ห. พร้อมกัน จากการตรวจค้นตู้ล็อกเกอร์หมายเลข 18 ของจำเลย พบเงิน 2,118,000 บาท กับสมุดบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา และนางสาวอภิญญา ซึ่งสนับสนุนให้เชื่อได้ว่า จำเลย นางสาวทับทิม และนางสาวเมวิกาต่างมีความเกี่ยวข้องและมีพฤติการณ์ตามทางการสืบสวนของพันตำรวจโทอุดมรัตน์และพันตำรวจโทปัญญาจริง ซึ่งในข้อนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวีรศักดิ์ประกอบบันทึกการตรวจยึดท้ายบันทึกการจับกุม ด้วยว่า ในชั้นตรวจค้นและยึดของกลางนั้น พยานสอบถามจำเลย นางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาแล้ว ต่างให้ถ้อยคำไปในทำนองเดียวกันว่าจำเลยเป็นผู้สั่งการให้นางสาวทับทิมและนางสาวเมวิกาไปเบิกถอนเงินสดแล้วนำมาเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์ เมื่อเลิกงานแล้วจำเลยจะนำเงินดังกล่าวไปมอบให้นายเล ไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริง ชาวเมียนมาที่ฝั่งประเทศเมียนมา นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทธานินทร์ พนักงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้สอบคำให้การนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา และจำเลยตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งแม้บุคคลทั้งสามจะให้การปฏิเสธ แต่ก็ให้การตรงกันในสาระสำคัญสรุปความได้ว่า จำเลยเป็นผู้ชักชวนและขอใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา และนางสาวเมวิสาเพื่อโอนและรับโอนเงินแล้วจำเลยจะรวบรวมเงินที่ได้รับมาไปมอบให้นายเลชาวเมียนมา อันเป็นพฤติการณ์ตรงกับที่พันตำรวจโทอุดมรัตน์และพันตำรวจโทปัญญาได้มาจากการสืบสวนข้างต้น จำเลยเองก็ไม่ได้นำสืบปฏิเสธว่าพฤติการณ์ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรวมทั้งคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยกับพวกตามบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้อง อันจะแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำตามที่โจทก์กล่าวอ้างอย่างไร ส่วนข้อที่จำเลยกล่าวอ้างในชั้นสอบสวนว่า จำเลยเพียงทราบจากนายเลว่าเงินที่จะรับโอนมาเป็นเงินที่ญาติของนายเลขายที่ดินในประเทศไทย ก็ขัดต่อเหตุผล เพราะการโอนและรับโอนเงินแต่ละครั้งได้กระทำขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันเป็นระยะ ๆ แต่ละครั้งเป็นเงินจำนวนมาก และในบางวันยังมีการรับโอนเงินหลายครั้ง ผิดวิสัยของการค้าขายปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังปรากฏจากแผนภูมิเชื่อมโยงบัญชีเงินฝากและข้อมูลการทำรายการอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัญชีเงินฝาก ประกอบคำเบิกความของพันตำรวจโทธานินทร์ และรายการบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา นางสาวเมวิสา และจำเลย ด้วยว่า จำนวนเงินที่มีการโอนและรับโอนนั้น ล้วนแต่เกินฐานะและรายได้ของแต่ละคนทั้งสิ้น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยกับพวกต่างทราบดีอยู่แล้วว่าเงินที่ต่างเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องดังกล่าวได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกสมคบกันกระทำการเพื่อโอนและรับโอนเงินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติดด้วยเจตนาปกปิดแหล่งที่มาของเงินดังกล่าว อันเป็นการฟอกเงิน ด้วยการใช้บัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา และนางสาวเมวิสาเพื่อโอนและรับโอนเงินแล้วจำเลยรวบรวมเงินที่ได้รับมาไปมอบให้แก่กลุ่มผู้ค้ายาเสพติด ดังนั้น จึงต้องถือว่าการที่นางสาวทับทิม นางสาวเมวิกา นางสาวสุกัญญา นางสาวอภิญญา และนางสาวเมวิสาฟอกเงินด้วยการโอนและรับโอนเงินที่ได้มาดังกล่าวเป็นการกระทำของจำเลยด้วย หาใช่รับฟังได้เพียงว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องเฉพาะกรณีที่นางสาวทับทิมรับโอนเงินจากนายสิทธิพงค์และนายอภิชิตเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2561 และวันที่ 24 มกราคม 2561 ตามคำให้การชั้นสอบสวนของพันตำรวจโทธานินทร์และพันตำรวจโทอุดมรัตน์เท่านั้น ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแต่อย่างใดไม่ และเมื่อปรากฏจากแผนภูมิเชื่อมโยงบัญชีเงินฝากและข้อมูลการทำรายการอิเล็กทรอนิกส์ผ่านบัญชีเงินฝากว่า ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2561 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมผ่านเครื่องเบิกถอนเงินอัตโนมัติ (เครื่องเอทีเอ็ม) เข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิกา 34 ครั้ง เป็นเงิน 13,965,000 บาท ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2561 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิกาผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม 25 ครั้ง เป็นเงิน 11,986,000 บาท ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2560 ถึงวันที่ 17 มีนาคม 2560 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวสุกัญญาผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย 2 ครั้ง เป็นเงิน 219,000 บาท ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561 ถึงวันที่ 28 เมษายน 2561 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวอภิญญาผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวสุกัญญา 11 ครั้ง เป็นเงิน 4,999,000 บาท ระหว่างวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวสุกัญญา 18 ครั้ง เป็นเงิน 8,740,000 บาท วันที่ 31 ตุลาคม 2561 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิสาผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม 1 ครั้ง เป็นเงิน 100,000 บาท วันที่ 26 สิงหาคม 2560 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิมผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิสา 2 ครั้ง เป็นเงิน 1,000,000 บาท ระหว่างวันที่ 13 พฤศจิกายน 2560 ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 มีการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิสาผ่านเครื่องเอทีเอ็มเข้าบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิกา 3 ครั้ง เป็นเงิน 1,030,000 บาท ระหว่างวันที่ 11 สิงหาคม 2560 ถึงวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 มีการถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของนางสาวทับทิม 191 ครั้ง เป็นเงิน 228,876,000 บาท และระหว่างวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 มีการถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากของนางสาวเมวิกา 30 ครั้ง เป็นเงิน 99,468,000 บาท ตรงตามที่โจทก์ฟ้องกับมีคำขอให้ลงโทษจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามแต่ละช่วงเวลา เช่นนี้ จำเลยจึงมีความผิดรวม 10 กระทง ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 10 กระทง โดยให้บังคับโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์