โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับกรมประชาสงเคราะห์ ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาแบ่งงานรับจ้างเหมานั้น เมื่อจำเลยเบิกเงินจากกรมประชาสงเคราะห์ได้ต้องจ่ายให้โจทก์ทันที และตกลงกันว่าหากมีกรณีพิพาทเกิดขึ้นให้ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นจังหวัดที่จำเลยรับเงินจากกรมประชาสงเคราะห์จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ พร้อมกับคำฟ้องโจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนราธิวาส จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่ง โจทก์จำเลยตกลงกันว่า หากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นให้นำคดีขึ้นสู่ศาลจังหวัดสงขลา จำเลยได้รับเงินค่าจ้างที่จังหวัดสงขลาแล้วไม่ให้โจทก์ตามสัญญา ถือได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตอำนาจศาลจังหวัดสงขลา โจทก์จึงขออนุญาตฟ้องที่ศาลจังหวัดสงขลา
ศาลจังหวัดสงขลาสั่งคำร้องของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องผิดสัญญาซึ่งทำที่กรุงเทพฯ มูลคดีเกิดที่กรุงเทพฯ แม้จะตกลงกันให้ฟ้องที่ศาลจังหวัดสงขลาก็เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) ศาลจังหวัดสงขลาไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ไม่อนุญาตให้ฟ้องที่ศาลจังหวัดสงขลาและได้สั่งในคำฟ้องว่า คืนฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ปรากฏตามคำร้องและคำฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์จำเลยมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสงขลาคือ โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพฯ โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้สัญญาที่โจทก์อ้างทำที่กรุงเทพฯ ฉะนั้น สถานที่ทำสัญญาจึงเป็นสถานที่มูลคดีเกิดขึ้น ที่โจทก์อ้างว่าตามสัญญาจำเลยจะต้องรับเงินค่าจ้างเหมาจากกรมประชาสงเคราะห์ที่จังหวัดสงขลาและต้องแบ่งเงินให้โจทก์ที่จังหวัดสงขลา มูลคดีของเรื่องจึงต้องถือว่าเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อกรณีเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญา สัญญาทำขึ้นที่ไหนมูลคดีฟ้องร้องก็ต้องถือว่าเกิดขึ้นที่นั้นส่วนการที่จะตกลงให้มีการรับเงินกันที่ไหนเป็นคนละเรื่องกับการเกิดของสัญญา จึงถือไม่ได้ว่าสัญญาเกิดขึ้นที่จังหวัดสงขลาดังที่โจทก์เข้าใจ
พิพากษายืน