ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถานและงดสืบพยาน แล้วพิพากษาว่าตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524ทั้งไม่ได้บรรยายว่ามีพระราชกฤษฎีกา ใช้บังคับแก่การเช่าที่ดินประเภททำสวนดังที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ในเบื้องแรกเห็นว่า ที่ดินตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเช่ามาจากนางศรีสุขเจ้าของเดิมนั้นไม่ใช่ "นา" ตามความหมายของมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ฉะนั้นหากจะมีการควบคุมการเช่าที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมประเภทอื่นใดนอกจากนา รัฐบาลจะต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเป็นพิเศษตามที่มาตรา 63 ให้อำนาจไว้ แต่ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลตราพระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่าที่ดินประเภทที่โจทก์ฟ้องเมื่อใด และถึงหากจะมีพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวก็ไม่ปรากฏจากคำฟ้องว่า โจทก์ร้องขอต่อ คชก. ตำบลหรือที่เรียกว่า คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพื่อวินิจฉัยให้จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์เสียก่อนตามมาตรา 54 วรรคสองของพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญซึ่งโจทก์จะต้องปฏิบัติเพราะเมื่อ คชก. ตำบลวินิจฉัยเป็นประการใด ผู้ไม่พอใจมีสิทธิอุทธรณ์ต่อคชก. จังหวัดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำวินิจฉัย แต่ต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก. ตำบลมีคำวินิจฉัย มิฉะนั้นให้ถือว่าคำวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุด และหากจะมีการอุทธรณ์ต่อไปยัง คชก. จังหวัดและโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด โจทก์จึงจะมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัย แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่คชก. จังหวัดมีคำวินิจฉัย ทั้งนี้เป็นไปตามที่มาตรา 56 และ 57 ของกฎหมายดังกล่าวบัญญัติไว้ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วจะเห็นได้ว่าโจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าเมื่อโจทก์ติดต่อขอซื้อจากจำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมขาย โจทก์ก็มาฟ้องคดีทันทีโดยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายบังคับไว้ ฉะนั้นที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาเป็นพับ