โจทก์ฟ้องว่าในการเสียภาษีเงินได้ปี พ.ศ. ๒๔๙๗  ถึง ๒๕๐๐  โจทก์ได้ขอลดหย่อนสำหรับตัวนายมงคลผู้จัดการของโจทก์กับภริยาและบุตรผู้เยาว์ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๔๗ ด้วย  เพราะนายมงคลกับภริยาถือหุ้นอยู่เกินกว่าร้อยละ ๕๐ ของทุนทั้งหมด  ซึ่งตามมาตรา ๗๕ ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้อย่างบุคคลธรรมดา  แต่จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งการประเมินภาษีถึงนายมงคลผู้จัดการของโจทก์ให้โจทก์เสียภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นอีกทั้ง ๔ ปี  โจทก์อุทธรณ์ต่อจำเลยที่ ๒  ๆ สัร่งยกอุทธรณ์ของโจทก์ ๆ เห็นว่าการที่จำเลยไม่ยอมหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวนายมงคลกับภริยาและบุตรนั้นไม่ชอบ  แม้จะหักไม่ได้  ก็ต้องหักค่าใช้จ่ายให้โจทก์ปีละ ๓,๐๐๐ บาท  ตามมาตรา ๔๗ (๑) (ก)  จึงฟ้องศาลขอให้บังคับ
จำเลยให้การว่า  ตามประมวลรัษฎากรโจทก์จะขอหักดังคำขอไม่ได้  การประเมินภาษีและการยกอุทธรณ์ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คู่ความรับกันว่า  โจทก์มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ทำการ  ค่าโคมไฟ  ค่าแรงไฟ  ค่าเครื่องเขียนแบบพิมพ์  และค่ารับรองแขกจริง  คู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิได้รับการหักค่าใช้จ่ายตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๔๗ (๑) (ก) หรือไม่เท่านั้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า  เมื่อนายมงคลถือหุ้นอยู่ในห้างหุ้นส่วนโจทก์เกินกว่าร้อยละ ๕๐ ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๗๕  โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีตามส่วนนี้  แต่ให้เสียภาษีตามส่วนที่ ๒  ว่าด้วยการเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดา  โจทก์จึงมีสิทธิได้รับการหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๔๗ (๑) (ก)  ปีละ ๓,๐๐๐ บาท  จึงพิพากษาให้จำเลยหักค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๗๕ หมายความว่าบุคคลธรรมดาผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ๆ ต้องไปเสียภาษีในส่วน ๒  หาได้หมายความว่าให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นไปเสียภาษีตามส่วน ๒ ไม่  จึงไม่มีอะไรที่จำเลยจะต้องหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายให้ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๔๗ (๑) (ก)  ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็บภาษีจากบุคคลธรรมดาให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล  ทั้งตามแบบเจ้งจำนวนภาษี ๔ ฉบับท้ายฟ้องก็ปรากฎว่าจำเลยแจ้งถึงนายมงคล  อันเป็นบุคคลธรรมดาให้นำภาษีเพิ่มไปชำระ  จำเลยไม่ได้เรียกภาษีเพิ่มจากโจทก์เลย  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้อง