โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยสารประจำทางรับส่งคนโดยสารจากกรุงเทพมหานครจะไปจังหวัดขอนแก่นโดยไม่นำรถเข้าหยุดหรือจอดเพื่อรับผู้โดยสาร ณ สถานีขนส่งสายเหนือซึ่งเป็นสถานีขนส่งตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ออกประกาศลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๐๓ กำหนดไว้ จำเลยได้ฝ่าฝืนโดยจอดรถที่ศูนย์รถเทพประสาททัวร์บริเวณปากซอยเฉยพ่วงและรับผู้โดยสารประมาณ ๓๐ คน เพื่อจะขนส่งไปจังหวัดขอนแก่น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๙, ๑๕๖, ๑๖๔ พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๔๙ ประกาศกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสถานที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๐๓ และประกาศคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เรื่อง กำหนดประเภทรถที่ต้องเข้าหยุดและจอดเพื่อรับส่งผู้โดยสาร ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร ลงวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๐๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๙, ๑๕๖, ๑๖๔ ฯลฯ ให้ปรับ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้นำรถคันเกิดเหตุเข้าหยุดหรือจอดเพื่อรับส่งคนโดยสารที่ศูนย์รถเทพประสาททัวร์ในซอยเฉยพ่วงและต่อมาจำเลยได้หยุดและรับส่งคนโดยสารที่สถานีขนส่งสายเหนือและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า ที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์นำพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๔๙ และประกาศกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสถานที่ใช้เป็นสถานีขนส่ง ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๐๓ ซึ่งถูกยกเลิกแล้วมาบังคับแก่จำเลยและลงโทษจำเลยตาม มาตรา ๑๕๖ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงไม่ชอบนั้น ปัญหาข้อนี้พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๖๔ ได้บัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลมีใจความว่า ในระหว่างที่ยังมิได้มีกฎกระทรวง ข้อกำหนดหรือระเบียบ ออกตามพระราชบัญญัตินี้ให้กฎกระทรวง ข้อกำหนด ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศใด ๆ ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ ฯลฯ ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้คงใช้บังคับต่อไป เมื่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบกพ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๙ ยังไม่ได้กำหนดให้สถานีขนส่งสายเหนือเป็นสถานที่หยุดหรือจอดรถเพื่อรับส่งผู้โดยสารไว้เป็นต่างหากจากประกาศของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๐๓ ดังนั้นจึงต้องนำปกระกาศกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสถานที่ใช้เป็นสถานีขนส่งซึ่งประกาศโดยอาศัยตามความในมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ. ๒๔๙๗ มาใช้ตามมาตรา ๑๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงมิใช่การนำกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วมาใช้บังคับแก่จำเลยและลงโทษจำเลยดังที่จำเลยฎีกา
ปัญหาข้อต่อไปที่จำเลยฎีกาว่า แม้จำเลยจะได้นำรถคันเกิดเหตุไปหยุดหรือจอดเพื่อรับส่งคนโดยสารที่ศูนย์รถเทพประสาททัวร์ก็ตาม แต่ก็ไม่เป็นความผิดเพราะต่อมาจำเลยได้นำรถไปหยุดและจอดรับส่งคนโดยสารที่สถานีรถโดยสารปรับอากาศตามประกาศของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดนั้น วินิจฉัยว่าการหยุดหรือจอดรับส่งผู้โดยสารนั้นจำเลยจะต้องหยุดหรือจอดรถ ณ สถานที่ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดหรือสถานที่หยุดหรือจอดรถตามที่มาตรา ๑๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติไว้เท่านั้น การที่จำเลยหยุดหรือจอดรถรับส่งผู้โดยสารที่ศูนย์รถเทพประสาททัวร์จึงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๖ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ แล้ว ดังนั้นการที่จำเลยนำรถเข้าหยุดหรือจอดรับผู้โดยสารที่สถานีขนส่งสายเหนือซึ่งเป็นสถานที่ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดในภายหลังจึงไม่เป็นการลบล้างกระทำความผิดของจำเลยซึ่งได้กระทำมาแล้วให้หมดสิ้นไปได้ไม่ การกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดอยู่
ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา ๑๕๖ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ โจทก์เพิ่งขอระบุพยานเพิ่มเติมและขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องภายหลังที่โจทก์แถลงว่าหมดพยานโจทก์แล้ว และการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบพยานต่อไปเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบนั้น เห็นว่าคำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา ๑๕๖ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ครบถ้วนแล้ว แต่ที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องและระบุพยานเพิ่มเติมในภายหลังนั้น เนื่องจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางยังมิได้กำหนดให้สถานีขนส่งสายเหนือเป็นสถานที่ซึ่งใช้เป็นสถานีขนส่งสำหรับหยุดหรือจอดรถเพื่อรับส่งผู้โดยสารตามมาตรา ๑๙ (๑๑) แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้แตกต่างไปจากที่กำหนดไว้เดิม ดังนั้น สถานที่หยุดหรือจอดรถจึงต้องเป็นไปตามประกาศกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดสถานที่ใช้เป็นสถานีขนส่งซึ่งประกาศเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๐๓ ตามที่มาตรา ๑๖๔ แห่งพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้บัญญัติไว้ว่าให้นำมาใช้ได้ การที่โจทก์ขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องเมื่อโจทก์สืบพยานไปแล้วนั้น โจทก์ได้ดำเนินการก่อนที่ศาลชั้นต้นจะพิพากษาคดี จึงกระทำได้ตาม มาตรา ๑๖๓ และมาตรา ๑๖๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และการขอแก้หรือเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวแล้วนั้นไม่ได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีหรือหลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยก็ทราบว่าจำเลยจะต้องหยุดหรือจอดรถรับส่งคนโดยสารที่สถานีขนส่งอยู่แล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตจึงชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความ และการที่โจทก์นำพยานมาสืบเพิ่มเติมภายหลังที่ได้แถลงว่าหมดพยานแล้วนั้นก็เป็นเวลาก่อนที่จำเลยจะสืบพยานจึงไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน