โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83, 288, 371 ริบอาวุธมีดคัตเตอร์ของกลาง และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 208/2562 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1544/2562 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ส่วนข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นให้การว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายหลั่นและนางทองอินทร์ บิดาและมารดานายณรงเวทย์ ผู้ตาย ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น โดยให้เรียกนายหลั่นว่า โจทก์ร่วมที่ 1 และเรียกนางทองอินทร์ว่า โจทก์ร่วมที่ 2 ส่วนข้อหาร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์ร่วมทั้งสองไม่เป็นผู้เสียหาย จึงไม่อนุญาต และโจทก์ร่วมทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยทั้งสองร่วมกันฆ่าผู้ตาย เป็นค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ 300,000 บาท โจทก์ร่วมที่ 1 อายุ 72 ปี ขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 5,000 บาท จนถึงอายุ 90 ปี เป็นระยะเวลารวม 18 ปี เป็นเงิน 1,080,000 บาท โจทก์ร่วมที่ 2 อายุ 67 ปี ขอเรียกค่าขาดไร้อุปการะเดือนละ 5,000 บาท จนถึงอายุ 90 ปี เป็นระยะเวลารวม 23 ปี เป็นเงิน 1,380,000 บาท รวมเป็นค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันชำระทั้งสิ้น 2,760,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72, 371 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 15 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 1,000 บาท ทางนำสืบจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงปรับ 500 บาท รวมจำคุก 10 ปี และปรับ 500 บาท บวกโทษจำคุก 1 เดือน และ 2 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 208/2562 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1544/2562 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ เข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เป็นจำคุก 10 ปี 3 เดือน และปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ยกคำขอให้ริบมีดคัตเตอร์ของกลาง โดยให้คืนแก่เจ้าของ และให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของโจทก์ร่วมทั้งสอง ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ 120,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง โดยให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์ร่วมทั้งสองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 จำนวน 20,000 บาท เข้าหักชำระหนี้ดังกล่าวด้วย โดยให้นำไปหักชำระดอกเบี้ยที่คำนวณได้ถึงวันดังกล่าวก่อน หากมีเงินเหลือให้นำไปหักชำระต้นเงิน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขาดไร้อุปการะ 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าขาดไร้อุปการะ 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ร่วมทั้งสองขอ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งแทนโจทก์ร่วมทั้งสอง เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ร่วมทั้งสองชนะคดี โดยกำหนด ค่าทนายความ 15,000 บาท ยกคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนในส่วนของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนแพ่งระหว่างโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ
โจทก์ร่วมทั้งสองและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้นำเงิน 40,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำมาวางต่อศาลชั้นต้น ไปหักชำระดอกเบี้ยที่คำนวณได้นับแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาก่อน หากมีเงินเหลือจึงให้นำไปหักชำระต้นเงิน ยกอุทธรณ์ในส่วนอาญาของโจทก์ร่วมทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาล 55,200 บาท แก่โจทก์ร่วมทั้งสอง และเมื่อโจทก์ร่วมทั้งสองไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องชำระค่าธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ร่วมทั้งสองอีก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราเดินมาที่โต๊ะของจำเลยทั้งสองและตะโกนด่าพร้อมเข้ามาตบศีรษะของจำเลยที่ 1 โดยผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อนก็ตาม แต่ผู้ตายเพียงด่าและตบศีรษะจำเลยที่ 1 เท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดคัตเตอร์แทงผู้ตายไปที่บริเวณหน้าอกข้างซ้ายใต้ราวนม 1 ครั้ง ในขณะที่ผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราและไม่มีอาวุธใด ๆ ที่จะต่อสู้กับจำเลยที่ 1 ได้ นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และแสดงให้เห็นถึงความไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายของจำเลยที่ 1 ดังจะเห็นได้จากจำเลยที่ 1 เคยถูกดำเนินคดีมาก่อนคดีนี้แล้วถึง 2 คดี ซึ่งศาลได้ให้โอกาสแก่จำเลยที่ 1 โดยรอการลงโทษแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ไม่หลาบจำกลับมากระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีก แม้จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นตามที่อ้างในฎีกา รวมทั้งหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นำเงินมาชดใช้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง ทำให้ผู้ร้องทั้งสองไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 อีกต่อไป เมื่อโจทก์และผู้ร้องทั้งสองได้รับสำเนาฎีกาแล้วไม่แก้ฎีกาให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องทั้งสองเป็นที่พอใจและไม่ติดใจดำเนินคดีกับจำเลยที่ 1 แล้ว อันมีลักษณะเป็นการยอมความก็ตาม แต่ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ และฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร มิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงไม่อาจยอมความได้ และหาทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดดังกล่าวระงับไปไม่ คงมีผลทำให้คดีในส่วนแพ่งของผู้ร้องทั้งสองที่ขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนระงับไปเท่านั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 ได้ แต่ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะก่อนลดโทษให้จำคุก 15 ปีนั้นหนักเกินไป เห็นควรแก้ไขให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานอื่นและบวกโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 3 เดือน และปรับ 500 บาท ยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งชั้นฎีกาให้เป็นพับ