คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์และจำเลยทั้งสามในทั้งสี่สำนวนว่า โจทก์ และจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เรียกมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ผู้เสียหายที่ 1 และนายชาติชาย ผู้เสียหายที่ 2 ทั้งสี่สำนวนว่า ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ และเรียกองค์การบริหารส่วนตำบลขนุนผู้เสียหายที่ 3 ในสำนวนแรกว่า ผู้เสียหายที่ 3 องค์การบริหารส่วนตำบลพิงพวย ผู้เสียหายที่ 3 ในสำนวนที่สองว่า ผู้เสียหายที่ 4 อำเภอกันทรลักษ์ ผู้เสียหายที่ 3 ในสำนวนที่สามว่า ผู้เสียหายที่ 5 และองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสำราญ ผู้เสียหายที่ 3 ในสำนวนที่สี่ว่า ผู้เสียหายที่ 6
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 264, 265, 268 ริบของกลาง และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1081/2560, 1082/2560 และ 1084/2560 ของศาลชั้นต้น
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 264, 265, 268 ริบของกลาง และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1079/2560, 1082/2560 และ 1084/2560 ของศาลชั้นต้น
สำนวนที่สามโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268 และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1079/2560, 1081/2560 และ 1084/2560 ของศาลชั้นต้น
สำนวนที่สี่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268 และนับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1079/2560, 1081/2560 และ 1082/2560 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธทั้งสี่สำนวน
ระหว่างพิจารณามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งสี่สำนวน เป็นค่าเสื่อมเสียชื่อเสียงสำนวนละ 1,000,000 บาท และค่าขาดรายได้จากการให้บริการทดสอบวัสดุสำนวนละ 1,000,000 บาท รวมสำนวนละ 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 3 กระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 1 และนายชาติชาย ผู้เสียหายที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งสี่สำนวน เป็นค่าขาดรายได้จากส่วนแบ่งค่าบริการการรับทดสอบวัสดุเฉลี่ยเดือนละ 5,000 บาท และค่าสูญเสียรายได้เดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี รวมเป็นเงินสำนวนละ 360,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 3 กระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยที่ 3 ให้การในคดีส่วนแพ่งทั้งสี่สำนวนขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 264 วรรคแรก (เดิม)) และมาตรา 265 (ที่ถูก มาตรา 265 (เดิม)) ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก และมาตรา 265 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 244 วรรคแรก (เดิม) และมาตรา 265 (เดิม)) การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารราชการปลอม (ที่ถูก ร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการกับร่วมกันใช้เอกสารและเอกสารราชการปลอม) ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมแต่เพียงกระทงเดียว ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง และมาตรา 90 (ที่ถูก ตามมาตรา 268 วรรคสอง กระทงเดียว ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 6,000 บาท สำนวนแรก 4 กระทง สำนวนที่สอง 1 กระทง สำนวนที่สาม 8 กระทง และสำนวนที่สี่ 1 กระทง รวม 14 กระทง เป็นปรับ 84,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละกระทงละ 6 เดือน สำนวนแรก 4 กระทง สำนวนที่สอง 1 กระทง สำนวนที่สาม 8 กระทง และสำนวนที่สี่ 1 กระทง รวม 14 กระทง เป็นจำคุกคนละ 84 เดือน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสามเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 56,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 56 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ยกคำขอให้นับโทษจำคุกจำเลยทั้งสามต่อกันทุกสำนวน (ที่ถูก ไม่ต้องยกคำขอให้นับโทษต่อ และยกฟ้องจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม) ให้จำเลยที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสองคนละสำนวนละ 50,000 บาท รวม 4 สำนวน เป็นเงินคนละ 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มิถุนายน 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสอง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 (เดิม), 265 (เดิม) ทั้งสี่สำนวน กับยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ทั้งสี่สำนวนเสียด้วย และยกคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนของผู้ร้องทั้งสองทั้งสี่สำนวน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับองค์การบริหารส่วนตำบลขนุน ผู้เสียหายที่ 3 โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านนาขนวนหมู่ที่ 12 ตำบลขนุน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านขนุนตะวันออก หมู่ที่ 9 ตำบลขนุน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านขนุน หมู่ที่ 1 ตำบลขนุน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และโครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านตาเครือ หมู่ที่ 4 ตำบลขนุน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทำสัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลพิงพวย ผู้เสียหายที่ 4 โครงการก่อสร้างอาคารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (สถ.ศพด.2) หมู่ที่ 9 ตำบลพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ ทำสัญญากับอำเภอกันทรลักษ์ ผู้เสียหายที่ 5 โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านโนนเรือ หมู่ที่ 6 (เส้นที่ 1) และ (เส้นที่ 2) ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านหนองหิน หมู่ที่ 2 ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านสวนกล้วย หมู่ที่ 4 ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านโนนสะแบง หมู่ที่ 5 ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านมะลิวัลย์ หมู่ที่ 9 (เส้นที่ 1) และ (เส้นที่ 2) ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และโครงการก่อสร้างถนน คสล. บ้านสวนสวรรค์ หมู่ที่ 10 ตำบลสวนกล้วย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และทำสัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลโนนสำราญ ผู้เสียหายที่ 6 โครงการก่อสร้างระบบประปาผิวดินขนาดใหญ่ บ้านตาเสก หมู่ที่ 3 ตำบลโนนสำราญ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ต่อมาจำเลยที่ 2 ให้นายกวิน ติดต่อกับมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ผู้เสียหายที่ 1 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ให้นายประสงค์ ไปรับหนังสือแจ้งผลการทดสอบคอนกรีตและรายงานการทดสอบหน่วยแรงอัดแท่งคอนกรีตจากนายกวินนำมาให้จำเลยที่ 2 วันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายปลอมสำเนาหนังสือของผู้เสียหายที่ 1 โดยลงลายมือชื่อปลอมของนายชาติชาย ผู้เสียหายที่ 2 ในหนังสือดังกล่าว พร้อมรายงานผลการทดสอบหน่วยแรงอัดแท่งคอนกรีต รายงานการทดสอบเหล็ก (Tension Test) และรายงานปฏิบัติการทดสอบงานคอนกรีต คือ การทดสอบหาความต้านทานต่อการสึกกร่อนของมวลรวม การหาความถ่วงจำเพาะและการดูดซึมของมวลรวมหยาบและการทดสอบหาหน่วยน้ำหนักและช่องว่างของมวลรวมคอนกรีต ซึ่งเป็นเอกสารและเอกสารราชการ ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ใช้และอ้างเอกสารและเอกสารราชการปลอมดังกล่าวต่อผู้เสียหายที่ 3 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 4
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมในคดีสำนวนแรกและสำนวนที่สามชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกบรรยายว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน 2559 ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2559 เมื่อเดือนเมษายน 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 เมื่อเดือนเมษายน 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 และเมื่อเดือนเมษายน 2559 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2559 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมเอกสารราชการ และคำฟ้องโจทก์ในสำนวนที่สามบรรยายว่า เมื่อเดือนเมษายน 2559 ถึงเดือนพฤษภาคม 2559 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมเอกสารราชการ รวม 8 ครั้ง โดยโจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำความผิดฐานร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า ภายหลังจากทำปลอมแล้วจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมต่อผู้เสียหายที่ 3 และที่ 5 ซึ่งการบรรยายฟ้องดังกล่าวเข้าใจได้ว่าตามวันเวลาที่โจทก์ระบุไว้ในการกระทำความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารราชการ แต่เป็นเวลาหลังจากที่จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมเอกสารราชการแล้ว จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมต่อผู้เสียหายที่ 3 และที่ 5 ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอีกกรรมหนึ่ง ฟ้องของโจทก์ทั้งสองสำนวนในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมจึงเป็นฟ้องที่ชัดแจ้งแล้วว่า เมื่อวันเวลาใด จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอม มิใช่ไม่ได้บรรยายฟ้องถึงรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย ฟ้องโจทก์สำนวนแรกและสำนวนที่สามในความผิดฐานร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกและสำนวนที่สามในความผิดฐานร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารและเอกสารราชการปลอมในสำนวนแรกและสำนวนที่สาม และคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมกับฎีกาของโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าว โดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาอีก
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กับฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการกับฐานร่วมกันใช้เอกสารและเอกสารราชการปลอมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และจำเลยที่ 3 ร่วมกันกระทำความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งไม่มีหน้าที่ในการจัดส่งหนังสือขอความอนุเคราะห์ไปยังผู้เสียหายที่ 1 และรับหนังสือรายงานผลการทดสอบจากผู้เสียหายที่ 1 กลับขอรับหนังสือที่ผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 6 ขอความอนุเคราะห์ให้ผู้เสียหายที่ 1 ทดสอบกำลังอัดประลัยคอนกรีต ทดสอบเหล็ก ทดสอบหินและทราย ในโครงการก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 6 ไปส่งให้ผู้เสียหายที่ 1 เอง แต่ไม่ได้นำหนังสือดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยตรง โดยนำไปมอบให้นายกวินฝากให้จำเลยที่ 3 นำไปส่งให้ผู้เสียหายที่ 1 และให้จำเลยที่ 3 นำหนังสือรายงานผลการทดสอบของผู้เสียหายที่ 1 มาให้นายกวินเพื่อส่งมอบให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่อเป็นพิรุธ เมื่อประมวลพฤติการณ์จากพยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีดังวินิจฉัยข้างต้น ประกอบกับจำเลยที่ 2 เบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า ผลการตรวจสอบวัสดุก่อสร้างจะมีผลต่อการจ่ายเงินของหน่วยราชการที่จำเลยที่ 1 รับจ้าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับผลการทดสอบกำลังอัดประลัยคอนกรีต ทดสอบเหล็ก ทดสอบหินและทรายในโครงการก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างกับผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 6 คดีมีเหตุผลให้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการ เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการแล้ว การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำเอกสารและเอกสารราชการปลอมดังกล่าวไปใช้และอ้างแสดงต่อผู้เสียหายที่ 3 ถึงที่ 6 จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้ว่าเอกสารและเอกสารราชการนั้นเป็นเอกสารและเอกสารราชการปลอม จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารและเอกสารราชการปลอม ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น เห็นว่า โจทก์มีพยานมานำสืบรับฟังข้อเท็จจริงได้เพียงว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้นำเอกสารที่บรรจุในซองสีน้ำตาลปิดผนึกจากนายกวินไปส่งให้ผู้เสียหายที่ 1 และนำเอกสารที่บรรจุในซองสีน้ำตาลปิดผนึกมาส่งให้นายกวินเท่านั้น แม้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า เมื่อประมาณปลายเดือนมิถุนายน 2559 จำเลยที่ 3 มาพบผู้เสียหายที่ 2 ที่ห้องทำงาน จากนั้นจำเลยที่ 3 พูดขอโทษผู้เสียหายที่ 2 เรื่องที่จำเลยที่ 3 ออกหนังสือรับรองชิ้นงานและนายกาจบัณฑิต เลขานุการอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ เบิกความว่า จำเลยที่ 3 มาพบนายประกาศิต อธิการบดี ระหว่างที่นายประกาศิตและจำเลยที่ 3 พูดคุยกัน พยานอยู่ในห้องครัวเพื่อเตรียมน้ำดื่มให้จำเลยที่ 3 จึงได้ยินการสนทนาของจำเลยที่ 3 ที่แจ้งให้นายประกาศิตทราบว่า วันนี้มาเพื่อขอโทษนายประกาศิตเกี่ยวกับเรื่องการใช้เอกสารของมหาวิทยาลัย กับให้การชั้นสอบสวนตามบันทึกคำให้การว่า ระหว่างพยานเดินเข้าออกห้องรับรองและนั่งอยู่ในห้องติดกัน พยานได้ยินจำเลยที่ 3 พูดกับอธิการบดีพอสรุปใจความได้ว่า สนทนากันเรื่องปลอมเอกสารราชการของมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ จำเลยที่ 3 บอกว่าได้ไปขอโทษผู้เสียหายที่ 2 แล้ว และได้ปรึกษาผู้หลักผู้ใหญ่แล้วให้จำเลยที่ 3 มาขอโทษอธิการบดีด้วยตนเองก็ตาม แต่เมื่อคำพูดของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวไม่มีรายละเอียดในการกระทำความผิดจึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลอมเอกสารและเอกสารราชการตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานพฤติเหตุแวดล้อมมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มีการกระทำอย่างไรที่เป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปลอมเอกสารและเอกสารราชการตามฟ้อง ประกอบกับจำเลยที่ 3 ไม่มีส่วนได้เสียหรือได้รับผลประโยชน์จากการปลอมเอกสารและเอกสารราชการดังกล่าว พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบสำหรับจำเลยที่ 3 จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารและเอกสารราชการตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมและฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอมในสำนวนแรกและสำนวนที่สามนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสามในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 (เดิม), 265 (เดิม) ทั้งสี่สำนวน กับยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 สำนวนที่สองและสำนวนที่สี่นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3