โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 2เป็นรองผู้จัดการ จำเลยที่ 3 มีตำแหน่งเป็นผู้วิเคราะห์สังกัดหน่วยเงินกู้รายย่อย จำเลยที่ 4 มีตำแหน่งเป็นเลขานุการช่วยบริหาร ในธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งโจทก์เป็นพนักงานอยู่ ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 ได้แจ้งเท็จต่อจำเลยอื่นว่าพนักงานธนาคารบางคนเป็นตัวการชักชวนให้พนักงานอื่นแต่งดำประท้วงจำเลยที่ 1 ที่เสนอให้บรรจุแต่งตั้งจำเลยที่ 4รับพนักงานอื่นบางคนซึ่งเข้าใหม่ให้ได้รับตำแหน่งขึ้นขั้นเงินเดือนสูงอย่างรวดเร็ว ข้ามหน้าพนักงานที่ทำงานมาก่อนจำเลยที่ 1 แต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงจำเลยทั้งสี่สมคบกันให้จำเลยที่ 3 และพนักงานธนาคารบางคนให้ถ้อยคำเท็จต่อจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์รู้ว่าพนักงานธนาคารผู้ใดเป็นตัวการชักชวนให้พนักงานธนาคารแต่งดำประท้วง และให้โจทก์ยอมร่วมมือยืนยันว่าพนักงานธนาคารชั้นผู้ใหญ่ 2 คนเป็นตัวการชักชวน แต่โจทก์ไม่ยอมร่วมมือเป็นเหตุให้จำเลยโกรธเคือง และหยิบยกเรื่องการเลื่อนเงินเดือนประจำปี ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ตัดชื่อโจทก์ที่ได้เลื่อนเงินเดือน 1 ขั้นออกโจทก์ขอให้แก้ไข แต่จำเลยกลับร่วมกันบังคับให้โจทก์ยอมรับว่าโจทก์รู้เห็นเรื่องการชักชวนให้พนักงานธนาคารประท้วง และให้ระบุผู้เป็นตัวการ แล้วจะยอมแก้ไขให้ ถ้าโจทก์ไม่ยอม จะตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ โจทก์ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมการธนาคาร คณะกรรมการสั่งให้จำเลยที่ 1 พิจารณาคำร้องของโจทก์แต่จำเลยที่ 1 กลับเพิกเฉยและร่วมมือกับจำเลยอื่นตั้งข้อกล่าวหาว่าโจทก์รายงานเท็จและตั้งจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ รวม 130,360 บาท พร้อมดอกเบี้ย กับให้ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายประกาศคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันอย่างน้อย2 ฉบับ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าจำเลยทั้งสี่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ด้วยการสมคบร่วมมือกันใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่โดยไม่สุจริต กลั่นแกล้งบีบบังคับโจทก์ คัดตัดชื่อโจทก์ไม่เลื่อนเงินเดือนให้โจทก์ตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ดังฟ้องหรือไม่โดยที่โจทก์เป็นลูกจ้างของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ซึ่งมีจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการหรือจำเลยที่ 2 ในฐานะรองผู้จัดการเป็นผู้กระทำการแทน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 จึงเป็นไปตามสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งรวมถึงข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบต่างๆ ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ อันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในฐานะผู้กระทำการแทนธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งถือเสมือนเป็นนายจ้างของโจทก์ปฏิบัติต่อโจทก์โดยมิชอบ ฝ่าฝืนสัญญาจ้างแรงงานประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกับจำเลยตามสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีต่อกัน จะอ้างว่าเป็นการกระทำละเมิดหาได้ไม่ เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อขึ้นอีกต่างหากนอกเหนือจากการปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน คดีนี้ตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 มีคำสั่งไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ ฝ่าฝืนข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ 7เรื่อง ระเบียบปฏิบัติงานของพนักงานธนาคารว่าด้วยการเลื่อนเงินเดือนและค่าจ้างประจำปี พ.ศ. 2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 1 โดยข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ 16 พ.ศ. 2520ตามเอกสารหมาย จ.23 นั้น เห็นว่า ข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ฉบับดังกล่าว ข้อ 4 ได้กำหนดว่าในการเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานหรือลูกจ้างประจำปี ให้พิจารณาถึงความสามารถการริเริ่ม ความอุตสาหะ ความรับผิดชอบ คุณภาพและปริมาณงานในหน้าที่ ตลอดจนความประพฤติและสมรรถภาพในการปฏิบัติงานส่วนข้อ 5 ได้วางหลักเกณฑ์ว่าพนักงานหรือลูกจ้างผู้ซึ่งจะได้เลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ในข้อ (1) - (9) แต่ก็ไม่มีข้อบังคับข้อใดกำหนดไว้ชัดเจนว่าพนักงานหรือลูกจ้างที่ไม่ต้องด้วยข้อห้ามในหลักเกณฑ์ข้อ (1) - (9) แล้ว จะต้องได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน ตรงกันข้ามข้อบังคับข้อ 8 กลับระบุว่าผู้จัดการมีอำนาจเลื่อนเงินเดือนหรือค่าจ้างของพนักงานหรือลูกจ้างตำแหน่งไม่สูงกว่าหัวหน้าหน่วยหรือเทียบเท่าในปีหนึ่งๆ ได้ไม่เกินสองขั้น ถ้าเกินกว่านั้นต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการ แสดงให้เห็นว่าตามข้อบังคับดังกล่าว ผู้จัดการมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจในการสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่พนักงานหรือลูกจ้างได้ หากโจทก์เห็นว่าโจทก์เป็นผู้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน 1 ขั้น แต่จำเลยที่ 1 ใช้ดุลพินิจไม่ชอบ ใช้ดุลพินิจผิดไปจากหลักเกณฑ์ที่วางไว้ในข้อบังคับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ 7 อันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวกับจำเลยที่ 1ฐานปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำฐานปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวหาชอบไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นรองประธานคณะกรรมการพิจารณาความดีความชอบของพนักงานได้เสนอไม่ให้เลื่อนขั้นเงินเดือนของโจทก์ต่อจำเลยที่ 1ตามเอกสารหมาย จ.4 และจำเลยที่ 1 สั่งเห็นชอบด้วย ตามเอกสารหมาย จ.25 เป็นเพราะจำเลยที่ 2 ต้องการให้โจทก์บอกว่าพนักงานหรือลูกจ้างคนใดที่เป็นตัวการชักชวนให้พนักงานธนาคารอาคารสงเคราะห์แต่งชุดดำเพื่อประท้วงผู้จัดการ เรื่องการแต่งตั้งพนักงานในสำนักผู้จัดการและเรียกนักข่าวมาทำข่าวทั้งนี้เนื่องจากจำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์ทราบว่าพนักงานเหล่านั้นเป็นใคร แต่ความจริงโจทก์ไม่ทราบว่าพนักงานเหล่านั้นเป็นใครบ้าง จึงไม่สามารถบอกจำเลยที่ 2 ได้ ส่วนจำเลยที่ 1ออกคำสั่งไม่เลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ได้เรียกโจทก์ไปพูดต่อหน้านายเจือระวี ชมเสวี ผู้ช่วยผู้จัดการนายสวัสดิ์ ไชยคุปต์ หัวหน้าสำนักกฎหมายและนางอังสุมาลย์ ฉายะวรรณ หัวหน้าส่วนควบคุมเงินกู้ว่าให้โจทก์ยอมรับว่าได้ทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำทัณฑ์บนไว้และเลื่อนเงินเดือนให้ ถ้าโจทก์ไม่ยอมจะเสนอให้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย โจทก์ได้แจ้งว่าไม่รู้ว่าใครเป็นตัวการ จะนำเรื่องการหาตัวคนประท้วงมาเป็นเหตุไม่ขึ้นเงินเดือนไม่ได้ จำเลยที่ 1 บอกให้ไปคิดดูให้ดี โจทก์ได้ยื่นคำตอบต่อจำเลยที่ 1 ผ่านส่วนเงินกู้ ตามเอกสารหมาย จ.33 ว่าโจทก์ไม่ได้กระทำผิดในการประท้วง จึงไม่มีเหตุผลความชอบธรรมอันใดที่ต้องทำทัณฑ์บนเพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้เลื่อนเงินเดือน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ทางวินัยและโจทก์ถูกสั่งให้ออกจากงานนั้น ฝ่ายจำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบว่าวิธีพิจารณาการเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงานแม้จะมีการพิจารณากันมาตามลำดับแล้วก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม จำเลยที่ 1 มีอำนาจใช้ดุลพินิจได้อีกชั้นหนึ่งสำหรับกรณีของโจทก์เมื่อนางกรองสิญจน์ สสิตานนท์ หัวหน้าส่วนกลางได้รับรายงานการขอเลื่อนขั้นเงินเดือนของพนักงานและลูกจ้างจากหัวหน้าส่วนต่างๆ แล้ว ได้นำเสนอต่อจำเลยที่ 1ผ่านนายเจือระวี ชมเสวี และจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 1 ได้สั่งด้วยวาจาให้จำเลยที่ 2 พิจารณาอีกครั้งหนึ่งว่าจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของหัวหน้าส่วนหรือไม่ จำเลยที่ 2 จึงได้เชิญหัวหน้าส่วนต่างๆ มาประชุมกัน มติของที่ประชุมให้โจทก์ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือน 1 ขั้น ต่อมานางกรองสิญจน์ได้ส่งรายงานตามเอกสารหมาย จ.16 มายังจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 เห็นว่าโจทก์มีส่วนร่วมในการแต่งชุดดำประท้วงจำเลยที่ 1เกี่ยวกับการประชุมแต่งตั้งพนักงานในสำนักผู้จัดการ ทั้งได้ชักชวนผู้อื่นให้ประท้วงดังกล่าวด้วย เป็นการประพฤติตัวกระด้างกระเดื่อง เกิดความแตกแยกสามัคคีอันเป็นการปฏิบัติผิดระเบียบของธนาคารอาคารสงเคราะห์ ฉบับที่ 17 ตามเอกสารหมาย จ.29 ข้อ 11 และข้อ 12 จึงมีความเห็นว่าไม่สมควรเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ ทั้งนี้จำเลยที่ 2 ได้ใช้ดุลพินิจตามสมควรของตนเอง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าโจทก์กระทำผิดวินัยจำเลยที่ 1 ได้พิจารณาแล้วเห็นด้วยกับความเห็นของจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยที่ 1 ที่ 2เกี่ยวกับปัญหาข้อนี้แล้ว เห็นว่าตัวโจทก์เบิกความยอมรับว่าในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2520 โจทก์ได้แต่งชุดดำมาทำงานจริงนอกจากโจทก์แล้วยังมีพนักงานธนาคารอีกประมาณ 3 คน แต่งชุดดำมาทำงานด้วย แต่โจทก์อ้างว่าแต่งมาเพื่อจะไปงานศพกับสามีในตอนเย็นไม่ใช่เพื่อประท้วง ซึ่งแม้จะเป็นการบังเอิญมาตรงกันเช่นที่โจทก์อ้างจริงก็ตาม แต่การกระทำของโจทก์ก็เป็นมูลเหตุให้จำเลยที่ 2 เข้าใจไปได้ว่าโจทก์แต่งชุดดำมาทำงานเพื่อประท้วงจำเลยที่ 1 จึงได้ทำความเห็นเสนอต่อจำเลยที่ 1 ว่าไม่ควรเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 มีความเห็นด้วยกับจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เช่นนี้ แม้จะเป็นการใช้ดุลพินิจโดยขาดความละเอียดรอบคอบ จนอาจเรียกได้ว่าขาดความเป็นธรรมก็ตามก็เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจในการบริหารของตนที่มีอยู่โดยโจทก์เองมีส่วนกระทำให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 เข้าใจผิดและใช้ดุลพินิจไปดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรณีเช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.