คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์รวม 9 รายการ ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นของผู้ร้องและภรรยา ขอให้ปล่อยทรัพย์สินดังกล่าว
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดหน้าที่ให้ผู้ร้องนำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานผู้ร้องผู้ร้องและโจทก์ต่างแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลย จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสีย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งปล่อยทรัพย์สินที่ถูกยึดไว้ เป็นการยื่นคำร้องขอเข้ามาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ซึ่งตามบทบัญญัติในวรรคสองของบทมาตราดังกล่าว ก็ได้บัญญัติให้ศาลที่ได้รับคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นเสมือนอย่างคดีธรรมดาผู้ร้องจึงมีฐานะเสมือนเป็นโจทก์ ส่วนโจทก์จึงมีฐานะเสมือนเป็นจำเลยดังนั้น เมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆเพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตน ให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตามความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84 วรรคแรก ตามคำร้องของผู้ร้องกล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดทั้งหมดเป็นของผู้ร้อง แต่โจทก์ก็ให้การยืนยันว่าเป็นของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา เป็นการปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องโดยสิ้นเชิง เมื่อไม่มีข้อสันนิษฐานใดเป็นคุณแก่ผู้ร้องแล้วภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่ผู้ร้องที่จะต้องนำสืบให้สมตามข้อกล่าวอ้าง เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจสืบพยานผู้ร้องจึงไม่อาจชนะคดีโจทก์ได้
พิพากษายืน