โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากัน จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย จนบัดนี้จำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงโดยจำเลยไม่ยอมอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ฉันสามีภรรยาเป็นเวลากว่า 2 ปี ทั้งหาเรื่องทะเลาะวิวาททุบตีโจทก์และด่าโจทก์ อันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หมิ่นประมาทอยู่เสมอและขับไล่โจทก์ไม่ยอมให้อยู่ร่วมกับจำเลย ต่อมาจำเลยเสพสุรามึนเมาจากนอกบ้านแล้วกลับมาหาเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายโจทก์ได้รับบาดเจ็บ จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์กับบุพการีโจทก์ในที่สาธารณะต่อหน้าบุคคลอื่น ทำให้โจทก์อับอายถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากบุคคลอื่นอย่างร้ายแรง โจทก์ไม่อาจอยู่กินกับจำเลยฉันสามีภรรยาต่อไปได้ระหว่างที่โจทก์จำเลยอยู่ร่วมกัน มีสินสมรสที่ได้ร่วมกันทำมาหาได้คือที่ดินโฉนดเลขที่ 48484 เนื้อที่ 57 ตารางวา และบ้านสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้เลขที่ 102/68 ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว อำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ราคาประมาณอย่างละ 200,000 บาทพร้อมทรัพย์สินภายในบ้านอีกราคาประมาณ 30,000 บาท รวมทรัพย์สินทั้งสิ้นราคา 430,000 บาท โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 215,000 บาท โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากับจำเลยต่อไป และได้เคยบอกกล่าวขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน พร้อมให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินจำนวน215,000 บาทแก่โจทก์ จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากับโจทก์ ณที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนหย่าแทนจำเลย ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์จำนวน 215,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะแบ่งให้โจทก์เสร็จ หากจำเลยไม่ยอมแบ่งให้โจทก์ไม่ว่าด้วยเหตุใดให้ศาลมีคำสั่งนำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ปีพ.ศ. 2520 จำเลยประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงดูครอบครัวแต่ผู้เดียวโจทก์ไม่ได้ประกอบอาชีพใด ๆ อยู่กับบ้าน โจทก์ประพฤติตนไม่เหมาะสมชอบเที่ยวเตร่ดื่มสุราเป็นอาจิณ จำเลยว่ากล่าวตักเตือน โจทก์ไม่เชื่อฟัง จำเลยไม่เคยทะเลาะทุบตีโจทก์หรือดูถูกเหยียดหยามโจทก์หรือบุพการีของโจทก์ จำเลยประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์โจทก์ไม่มีเหตุจะฟ้องหย่าจำเลยได้ ในระหว่างอยู่กินด้วยกันมีทรัพย์สินคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 48585 (ที่ถูกต้อง 48584) เนื้อที่57 วา พร้อมบ้านหนึ่งหลัง รวมราคา 200,000 บาท จำเลยนำบ้านและที่ดินไปเป้นหลักประกันการกู้ยืมเงินมาตกแต่งบ้านจำนวน 100,000บาท ยังไม่ได้ชำระให้ผู้ให้กู้ โจทก์หลบหนีจากบ้านได้นำเครื่องทองรูปพรรณเป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมทรัพย์สินในบ้านประมาณราคา 10,000 บาท ไปด้วย หากศาลมีคำพิพากษาให้หย่ากันโจทก์ต้องนำทรัพย์สินคืนมาแล้วร่วมกันชำระหนี้ก่อนจึงจะทำการแบ่งทรัพย์สินกันขอให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์กลับมาอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ ณ ที่ว่าการอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ถ้าไม่ไปให้เอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้แบ่งสินสมรสตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเท่ากันโดยให้ร่วมรับผิดชำระหนี้นางเป้า ฤทธิแปลกคนละครึ่ง หากการแบ่งสินสมรสไม่อาจทำได้ ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลยหรือขายทอดตลาดแล้วนำเงินที่ได้มาแบ่งคนละครึ่งคำขอโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์จำเลยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2520และตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2527 โจทก์ออกจากบ้านไม่กลับมาอยู่กินฉันสามีภรรยากับจำเลยอีก ที่ดินและบ้านตามฟ้องเป็นสินสมรส ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประเด็นแรกมีว่า มีเหตุให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยได้หรือไม่...ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 เป็นต้นมา จำเลยไม่ได้ให้เงินอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โจทก์ต้องขอเงินจากมารดาใช้จ่าย จำเลยหาเหตุดุด่าทุบตีโจทก์เป็นประจำเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2527 เวลาประมาณ 20นาฬิกา ขณะโจทก์นั่งคุยกับนางสมใจ พูลผล เพื่อนบ้านและนายประเทืองปานแสง น้องโจทก์ ที่บ้านโจทก์อยู่ จำเลยเมาสุรากลับเข้าบ้านด่าโจทก์ว่า "มึงมีชู้ไม่สมควรอยู่ร่วมกับกู มึวเลวทั้งโคตร" ...ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2527 เวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยเมาสุรากลับเข้าบ้านและได้ด่าโจทก์อีกว่า "มึงเลว มึงมีชู้ไม่สมควรอยู่กับกู แม่มึงไม่ดี ไม่เคยสั่งสอน" แล้วจำเลยตบตีโจทก์ได้รับบาดเจ็บบรเิวณขอบตาซ้ายจนโจทก์ต้องรับการรักษาจากแพทย์ในวันรุ่งขึ้นปรากฏตามใบสำคัญความเห็นของแพทย์เอกสารหมาย จ.2 โจทก์ไม่อาจอยู่ร่วมกัยจำเลยได้ต้องไปอาศัยนางขันทอง นาคทิม น้องโจทก์อยู่จนบัดนี้... จึงน่าเชื่อว่าการที่โจทก์ออกจากบ้านไปเพราะได้รับความคับแค้นใจจากการอยู่กินกับจำเลยในบ้าน รูปคดีจึงฟังได้ตามพยานหลักฐานโจทก์ว่าจำเลยได้กระทำการหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรง พร้อมทั้งได้ทำร้ายโจทก์ด้วย จึงมีเหตุให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยได้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประเด็นต่อไปเกี่ยวกับเรื่องหนี้นั้น จำเลยนำสืบว่า จำเลยได้กู้เงินนางเป้า ฤทธิ์แปลกจำนวน 100,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 และยังไม่ได้ชำระหนี้...การกู้เงินตามเอกสารหมาย ล.1 ก็เป็นการกู้เงินในเดือนพฤศจิกายน 2524อันเป็นช่วงระยะเวลาที่โจทก์จำเลยอยู่กินกันยังไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกัน...จึงเชื่อว่าจำเลยกู้เงินจากนางเป้าจริงและโจทก์มีส่วนรู้เห็นในการกู้เงินรายนี้และนำเงินกู้มาใช้จ่ายเกี่ยวกับที่ดินและบ้าน ซึ่งฟังได้ว่าเป็นสินสมรส โจทก์จึงต้องร่วมกับจำเลยในการชำระหนี้รายนี้..."
พิพากษายืน.