โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วไม้รวกและสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ ๕๕ ไร่ ต่อมาจำเลยที่ ๒ แบ่งขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เนื้อที่ ๓๖ ไร่ คงเหลือที่ดิน ๑๙ ไร่ และจำเลยที่ ๒ ได้ครอบครองโดยปลูกสร้างเล้าเป็ดและไก่ในที่ดินส่วนที่เหลือเนื้อที่ ๓ ไร่ ต่อมาโจทก์นำรั้วล้อมรอบที่ดินของโจทก์และของจำเลยที่ ๒ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์รื้อถอนรั้วออกจากที่ดินของจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การแต่ไม่รับฟ้องแย้งเพราะไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วไม้รวกและสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๗) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง และยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสอง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประเด็นแรกว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองและยกคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ หลังจากนั้นวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์มีกำหนด ๒๐ วัน นับแต่วันครบอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาต ต่อมาวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๑ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก ๒๐ วัน นับแต่วันครบกำหนดที่ขอขยายครั้งแรก ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์อีก ๑๐ วัน นับถัดจากวันครบกำหนดที่อนุญาตครั้งแรก จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ เห็นว่า คดีครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ภายใน ๑ เดือน คือวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๑ เมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก ๒๐ วัน นับแต่วันครบอุทธรณ์และศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ การนับระยะเวลาที่ขอขยายออกไปจึงต้องนับต่อจากวันครบกำหนดระยะเวลาเดิมคือต่อจากวันที่ ๕ โดยเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไป โดยไม่ต้องคำนึงว่าวันที่ ๖ , ๗ และ ๘ ธันวาคม ๒๕๔๑ จะตรงกับวันหยุดทำการหรือไม่เพราะวันเวลาดังกล่าวไม่ใช่วันสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๘ เมื่อเริ่มนับระยะเวลาอุทธรณ์ที่ขอขยายครั้งแรกคือวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๑ ก็จะครบกำหนด ๒๐ วัน ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๑ และเมื่อจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ครั้งที่ ๒ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ๑๐ วัน นับถัดจากวันครบกำหนดที่อนุญาตครั้งแรก การนับระยะเวลาที่ขยายออกไปในครั้งหลังนี้จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ซึ่งจะครบกำหนด ๑๐ วัน ในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๒ จำเลยทั้งสองยื่นอุทธรณ์วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒ จึงเกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ที่ศาลชั้นต้นสั่งขยายให้แล้ว ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ย่อมเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นและยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นอื่น ๆ ไม่จำต้องวินิจฉัย
อนึ่ง เนื่องจากคดีในส่วนของจำเลยที่ ๑ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ๕,๐๐๐ บาท และศาลอุทธรณ์ภาค ๗ มิได้แก้ไขนั้นไม่ถูกต้องเนื่องจากเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดตามตาราง ๖ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้จำเลยที่ ๑ จะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น ๓,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลยทั้งสองโดยให้คงเหลือไว้ ๒๐๐ บาท ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.