คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันโดยจะไปจดทะเบียนหย่ากันภายในวันที่ 8 พฤษภาคม 2560 เวลา 14 นาฬิกา ณ สำนักงานเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไปจดทะเบียนหย่าขอถือเอาคำพิพากษาตามยอมและสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการแสดงเจตนาของฝ่ายนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินเลขที่ 95/50 เป็นชื่อของ เด็กชาย ศ. และเด็กชาย ป. บุตรผู้เยาว์ทั้งสองถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนจำนองและให้โจทก์มีสิทธิอาศัยได้ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงผ่อนชำระค่างวดรายเดือนกันคนละครึ่ง โดยโจทก์จะโอนเงินค่างวดดังกล่าวเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 เป็นเงินเดือนละ 21,451 บาท ภายในวันที่ 3 ของทุกเดือน เริ่มงวดแรกวันที่ 3 มิถุนายน 2560 และจำเลยที่ 1 จะทำการซ่อมแซมบ้านให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยโดยเร็วที่สุดและตกลงให้บ้านพร้อมที่ดินเลขที่ 55/69 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 3567 เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงินให้แก่โจทก์ 6,000,000 บาท โดยจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็ค จำนวน 3,000,000 บาท ภายในวันที่ 22 พฤษภาคม 2560 และจำนวน 3,000,000 บาท ภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2560 โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงให้รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โดยจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันดังกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญา ส่วนรถยนต์ยี่ห้อซูซุกิ รุ่นสวิฟ และรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยโจทก์จะส่งมอบรถทั้งสองคันดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 พร้อมเอกสารการโอนภายใน 30 วัน นับแต่วันนี้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงแบ่งเครื่องมือแพทย์ตามวิชาชีพของแต่ละฝ่ายคนละครึ่ง โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 จะมาตรวจสอบและส่งมอบเครื่องมือแพทย์ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 17 พฤษภาคม 2560 เวลา 13 นาฬิกา ตามบัญชีเครื่องมือแพทย์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่แนบท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองร่วมกัน โดยให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองพักอาศัยอยู่กับฝ่ายโจทก์และตกลงให้โจทก์มีอำนาจกำหนดถิ่นที่อยู่ของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองโดยให้อยู่ที่บ้านเลขที่ 95/50 ให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจในการเลือกสถานที่ในการศึกษาภาคบังคับของบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง โดยคำนึงถึงประโยชน์และความสะดวกของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเป็นที่ตั้ง โดยจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายชำระค่าการศึกษาทั้งหมดให้แก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสอง และโจทก์มีอำนาจในการเลือกสถานที่ในการศึกษาเสริมของบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองศึกษาที่โรงเรียน ฮ. จำเลยที่ 1 ตกลงชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 100,000 บาท งวดแรกชำระภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และงวดถัดไปชำระภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชี นางรัสรินทร์ จนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะสำเร็จการศึกษาในระดับชั้นปริญญาตรี โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงเรื่องการเยี่ยมและการอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง โดยโจทก์ตกลงส่งบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้แก่จำเลยที่ 1 ครั้งแรกในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2560 เวลา 9.30 นาฬิกา ที่ห้างสรรพสินค้า ท. และส่งบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคืนโจทก์ในวันเดียวกันภายในเวลา 20 นาฬิกา และครั้งต่อไปส่งมอบทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.30 นาฬิกา ที่ห้างสรรพสินค้า ท. และจำเลยที่ 1 จะนำบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปส่งที่โรงเรียนในวันจันทร์ เว้นแต่สถานที่ที่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น ในช่วงปิดภาคเรียนย่อยให้แบ่งเป็นสองช่วงเท่า ๆ กันและโจทก์ยินยอมให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปอยู่กับจำเลยที่ 1 หนึ่งช่วงสลับกัน ในช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ปี 2560 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่กับโจทก์และจำเลยที่ 1 สลับกันฝ่ายละสัปดาห์ ส่วนในช่วงปิดภาคเรียนใหญ่ปีถัด ๆ ไปให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่กับจำเลยที่ 1 เป็นระยะเวลาสองสัปดาห์สลับกันกับฝ่ายโจทก์จนกว่าจะเปิดภาคเรียน หากบุตรผู้เยาว์ทั้งสองหรือคนหนึ่งประสงค์จะอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกินกว่าสองสัปดาห์ อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องให้ความยินยอม และมีข้อตกลงเพิ่มเติมว่าเมื่อบุตรผู้เยาว์ทั้งสองมีอายุมากขึ้นและมีความพร้อม โจทก์ยินยอมให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองอยู่กับจำเลยที่ 1 ติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่เท่า ๆ กัน ในการที่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะไปกับโจทก์หรือจำเลยที่ 1 ที่มีคู่สมรสของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ด้วย อีกฝ่ายจะต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ โดยบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะต้องยินยอมไปด้วย หากบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 15 ปี บริบูรณ์ ไม่ต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ห้ามคู่ความทั้งสองฝ่ายว่ากล่าวให้ร้ายแก่กัน โจทก์ตกลงมอบหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลราชวิถี จำนวน 1,469,500 บาท ให้แก่เด็กชาย ศ. และจำเลยที่ 1 ตกลงมอบหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ โรงพยาบาล ร. จำนวน 725,700 บาท ให้แก่เด็กชาย ป. เมื่อบุตรผู้เยาว์ทั้งสองบรรลุนิติภาวะ โจทก์และจำเลยที่ 1 ยินยอมถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอาญาทุกคดี และไม่ติดใจดำเนินคดีกันในภายหน้าอีก และจะนำคำร้องขอถอนฟ้องหรือถอนแจ้งความร้องทุกข์มามอบให้อีกฝ่ายภายใน 7 วัน นับแต่วันกระทำการดังกล่าวและจะนำหลักฐานแถลงเข้าสำนวนให้ศาลทราบ โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมกันตามข้อ 1 ถึงข้อ 12 โดยไม่ติดใจเรียกร้องอย่างหนึ่งอย่างใดต่อกันอีก หากผิดนัดข้อหนึ่งข้อใดยินยอมให้โจทก์หรือจำเลยที่ 1 บังคับคดีได้ทันที
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียวเป็นการชั่วคราวโดยเป็นการทดลองปกครองเลี้ยงดูเป็นระยะเวลา 6 เดือน ให้โจทก์ส่งมอบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่จำเลยที่ 1 ในวันพรุ่งนี้ (วันที่ 25 สิงหาคม 2560) โดยโจทก์สามารถรับบุตรผู้เยาว์ทั้งสองไปพักค้างคืนกับโจทก์ได้ในคืนวันอาทิตย์และให้โจทก์ไปส่งบุตรผู้เยาว์ทั้งสองที่โรงเรียนในวันจันทร์ ในช่วงการทดลองปกครองเลี้ยงดูนี้ จำเลยที่ 1 ไม่ต้องชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 8
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2561 ว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560 โจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนการส่งมอบเด็กชาย ป. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอนุญาตให้เลื่อนการส่งมอบเด็กชาย ป. ได้เพียงจนถึงวันพาเด็กชาย ป. ไปตรวจติดตามอาการที่โรงพยาบาลตามวันนัดของแพทย์โรงพยาบาล ส. ในวันที่ 25 ธันวาคม 2560 เท่านั้น ให้โจทก์ส่งมอบเด็กชาย ป. พร้อมยารักษาโรคที่จำเป็นคืนจำเลยที่ 1 ในวันที่ 26 ธันวาคม 2560 เมื่อถึงกำหนดโจทก์มิได้นำเด็กชาย ป. มาส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งศาล ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์ส่งมอบเด็กชาย ป. ให้แก่จำเลยที่ 1 ในทันที
โจทก์ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 9 มกราคม 2561 ว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้บุตรผู้เยาว์ทั้งสองทดลองพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 เป็นระยะเวลา 6 เดือน โจทก์สามารถพบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้ทุกวันอาทิตย์ และโจทก์ต้องส่งมอบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคืนแก่จำเลยที่ 1 ทุกเช้าวันจันทร์ แต่จำเลยที่ 1 ไม่ยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยไม่ส่งมอบเด็กชาย ศ. ให้แก่โจทก์ ขอให้มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 นำเด็กชาย ศ. ส่งมอบให้แก่โจทก์ทุกวันอาทิตย์ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด และให้เด็กชาย ศ. อาศัยอยู่กับโจทก์เพื่อชดเชยที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ส่งมอบเด็กชาย ศ. ให้โจทก์ตามกำหนดระหว่างที่โรงเรียนหยุดปีใหม่เป็นเวลา 9 วัน
จำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้านของอีกฝ่าย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบเด็กชาย ศ. คืนแก่โจทก์รับไปในวันนี้ที่ศาล ในรอบอื่นให้ส่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ห้างสรรพสินค้า ท. และให้โจทก์ส่งมอบบุตรผู้เยาว์ทั้งสองตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่จำเลยที่ 1 ในวันที่ 26 มีนาคม 2561 ที่บ้านพักของจำเลยที่ 1 และสลับกันดูแลบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้เป็นไปตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาตามสัญญาประนีประนอมยอมความจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียวเป็นการชั่วคราวโดยเป็นการทดลองปกครองเลี้ยงดู ซึ่งศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมิได้พิพากษาแก้ไขในส่วนนี้ แต่เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 1781/2565 ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชาย ป. แต่เพียงผู้เดียว และให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง เด็กชาย ศ. แต่เพียงผู้เดียวแยกออกจากกันเช่นนี้แล้ว ย่อมมีผลทำให้คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองเกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นการชั่วคราวนั้น ไม่อาจบังคับได้อีกต่อไป เนื่องจากต้องปฏิบัติไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะพิจารณาต่อไป แต่หากจะจำหน่ายคดีโดยยังให้คงผลของคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองไว้ในคดีนี้ จะเป็นการขัดแย้งกับผลของคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขแดงที่ 1781/2565 ที่ให้โจทก์และจำเลยที่ 1 แยกกันใช้อำนาจในการปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง จึงเห็นสมควรแก้ไขในส่วนนี้เสียให้ถูกต้องเสียด้วย
พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง แล้วให้จำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความของศาลฎีกา