โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 338,470 บาท โดยเช็คเลขที่ 016030 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2522 ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน พร้อมทั้งขีดคร่อมว่า "เฉพาะบัญชีของผู้รับเท่านั้น" อันเป็นคำสั่งมิให้เปลี่ยนชื่อจำเลยที่ 1เป็นผู้รับชำระในฐานะตัวแทนโจทก์ มีหน้าที่นำเช็คของโจทก์เข้าบัญชีโจทก์ที่มีอยู่แล้วที่ธนาคารจำเลยที่ 2 เพื่อให้ธนาคารเรียกเก็บเงินตามเช็คเข้าบัญชีของโจทก์ แต่จำเลยที่ 1 เบียดบังเอาเช็คไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่ 3โดยเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ซึ่งเปิดไว้ที่ธนาคารจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเรียกเก็บเงินตามเช็คนำเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำไปเรียกเก็บเงินได้อีกนอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวแทนโจทก์ได้ครอบครองเช็คของโจทก์สั่งจ่ายเช็คเข้าบัญชีส่วนตัวซึ่งเปิดไว้กับธนาคารจำเลยที่ 2 รวม 8 ฉบับนอกจากเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์สินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือบุคคลที่ 3 แล้ว ยังเป็นการกระทำผิดต่อหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของโจทก์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353, 188, 91, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 1 มีมูลเฉพาะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352, 353 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2มีมูลความผิดทุกข้อหาตามฟ้องนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านายวันชัยกระทำนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 และไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมในการกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 คดีจึงไม่มีมูลและพิพากษายกฟ้องส่วนศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แม้ตัวแทนของจำเลยที่ 2 จะร่วมด้วย จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีความผิด ส่วนข้อหาความผิดตามมาตรา 352, 353 นั้นไม่มีข้อเท็จจริงให้ฟังว่าจำเลยที่ 2มีเจตนาทุจริต จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดและพิพากษายืนดังนี้ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงเป็นคดีซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1และนายวันชัยในความผิดทั้งสองข้อหาอีกทั้งจำเลยที่ 2 มีเจตนาทุจริตด้วยนั้นเป็นการฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 เอาเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้จ่ายเงินเข้าบัญชีโจทก์ไปเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 1 เอาเช็คของโจทก์ 8 ฉบับไปจ่ายเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าหากจำเลยที่ 1เอาเช็คของโจทก์ไปขึ้นเงินเป็นของจำเลยที่ 1 ดังข้อเท็จจริงในชั้นไต่สวนมูลฟ้องที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมา ย่อมเป็นการทำให้เช็คนั้นไร้ประโยชน์ที่จะใช้ได้อีกตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188คดีของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อนี้จึงมีมูล แต่ที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 เอาเช็คของโจทก์ไปสั่งจ่ายเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของจำเลยที่ 1ซึ่งถือว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ด้วยนั้นเห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามคำฟ้องเป็นการเอาแบบพิมพ์เช็คของโจทก์มากรอกรายการสั่งจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 เอง แบบพิมพ์เช็คยังไม่ได้กรอกรายการนี้ยังมิได้ทำให้ปรากฏความหมายหรือเป็นหลักฐานแห่งความหมายอย่างใดเลย จึงไม่เป็นเอกสารตามมาตรา 1(7) แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้จำเลยที่ 1 จะได้เอาแบบพิมพ์เช็คของโจทก์ไปใช้ดังที่โจทก์ฟ้อง ก็หาเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 ไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับการที่จำเลยที่ 1 เอาเช็คเลขที่ 016030 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2522 ซึ่งระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินไปเรียกเก็บเงินเข้าบัญชีส่วนตัวมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188อีกบทหนึ่งให้ประทับฟ้องโจทก์ส่วนนี้ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์