โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจยื่นคำร้องและให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานในการขอจับจองที่ดินว่า ที่ที่ขอจับจองเป็นที่รกร้างว่างเปล่า อันเป็นเท็จความจริงเป็นที่ดินของโจทก์ จำเลยก็รู้อยู่แล้ว กับจำเลยยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัดให้สั่งห้ามมิให้อำเภอทำการซื้อขายที่ดินของโจทก์ดังกล่าวให้นายดำรงค์ อันเป็นการละเมิดและรอนสิทธิของโจทก์ ทำให้เสียหายขาดประโยชน์ค่าขายที่ดินและค่าทำคันนา ๙,๐๒๑.๕๐ บาท ขอให้ลงดทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗,๑๗๒,๑๗๓,๑๗๔,๙๐,๙๑ และแสดงว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งในจำนวนเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง จนกว่าโจทก์ได้รับเงินจากผู้ซื้อ
ศาลชั้นต้นสั่งประทับฟ้องเฉพาะข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นป่า จำเลยไม่ได้กระทำผิด ฟ้องเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตัวโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในฟ้อง คงมีแต่ทนายโจทก์เป็นผู้ลงชื่อในช่องโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ในส่วนอาญา และฟังไม่ได้ว่าจำเลยละเมิด ที่พิพาทยังเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๘(๗) โจทก์ต้องลงลายมือชื่อในฟ้องด้วยตนเอง ทนายโจทก์จะเป็นผู้ลงชื่อแทนไม่ได้ และการที่โจทก์ลงชื่อในใบแต่งทนายระบุว่า ขอแต่งให้นายณรงค์ วงศ์สกล เป็นทนายความให้มีคอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา ประนีประนอมยอมความ ถอนฟ้อง สละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์ - ฎีกา นั้น ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินคดีหลังจากยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว มิใช่เป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับการฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณามาตรา ๑๘(๗) อ้างฎีกาที่ ๔๓๕/๒๔๘๓ และที่ ๖๑๘/๒๔๙๐ และเห็นว่า เมื่อฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๓,๑๖๔ จะถือว่าการที่โจทก์สาบานตัวเบิกความต่อศาลยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ฟ้องจำเลยและ การที่โจทก์ลงชื่อในท้ายอุทธรณ์ เป็นการให้สัตยาบันว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายฟ้องแล้วหาได้ไม่ ในส่วนแพ่งฟังว่า ที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ จำเลยไม่ได้ละเมิด พิพากษายืน.