โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระหนี้เป็นเงิน 290,455,483.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 228,784,186.84 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วน ให้บังคับคดี บังคับจำนองและจำนำ ยึดทรัพย์จำนองและจำนำตามฟ้องพร้อมสิ่งปลูกสร้าง และบังคับยึดทรัพย์หลักประกันทางธุรกิจกับทรัพย์ตามสัญญาดำรงสินค้า และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 5 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี 25,471,804.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 24 ธันวาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,099,228.27 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับถัดจากวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,099,228.27 บาท นับแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน และให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.76/2559 จำนวน 35,702,350.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 28,365,419.46 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 จำนวน 25,538,235.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,074,126.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.001/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.002/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ (เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.27/2560 เป็นต้นเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 4 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2560 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 50,000,000 บาท นับแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.16/2560 จำนวน 25,576,680.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งห้าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.003/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (อัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2560 ถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.25/2560 จำนวน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 20,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 เป็นเวลา 60 วัน ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.26/2560 จำนวน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2560 จนถึงวันฟ้อง และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ร่วมรับผิดชำระเงิน 10,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราเอ็มโออาร์ลบ 0.5 (ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์เท่ากับร้อยละ 7.12 ต่อปี) ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2560 ถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2560 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 10,000,000 บาท นับแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2562 เป็นเวลา 60 วัน หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระ ให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 6849 และ 7530 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 7394, 7420 และ 7432 (ปัจจุบันคือโฉนดเลขที่ 7747, 7773 และ 7780) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับเครื่องจักร เลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 - 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักร เลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง อันเป็นทรัพย์จำนอง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน แต่ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ต้องไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ กับให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเบี้ยประกันภัย 390,135.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 319,539.11 บาท นับแต่วันฟ้อง (24 สิงหาคม 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนำในสัญญาจำนำ สัญญารักษาทรัพย์จำนำ สัญญาดำรงสินค้า และสัญญาเช่าโรงเก็บสินค้าออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ และในส่วนของดอกเบี้ยเป็นเวลา 60 วัน นับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2562 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2562 แก้เป็นนับแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2560 และวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า จําเลยที่ 1 ทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดโดยกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ วงเงิน 15,000,000 บาท และ 5,000,000 บาท และจำเลยที่ 1 ทำสัญญารับชำระหนี้เพื่อขอกู้เงินโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์หลายครั้ง โดยมีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ และนำที่ดินโฉนดเลขที่ 6395, 7530, 6849, 7747, 7773 และ 7780 เครื่องจักรเลขที่ 23 - 113 - 106 - 0001 ถึง 23 - 113 - 106 – 0004 รวม 4 เครื่อง และเครื่องจักรเลขที่ 50 - 113 - 106 - 0020 ถึง 0021 รวม 2 เครื่อง มาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือก ข้าวสาร ในสต๊อกสินค้าของจำเลยที่ 1 มาจำนำไว้แก่โจทก์โดยให้สามารถออกตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับได้ไม่เกินร้อยละ 70 ของมูลค่าสินค้าที่จำนำ คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ประการเดียวว่า โจทก์ยอมให้ข้าวเปลือกและข้าวสารอันเป็นทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของลูกหนี้ซึ่งเป็นผู้จำนำ จำนำจึงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 769 (2) หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 นำข้าวเปลือกและข้าวสารไปจำนำเป็นประกันหนี้ตามสัญญาสินเชื่อของจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แล้วโจทก์ทำสัญญาเช่าโกดังของจำเลยที่ 1 เป็นที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำ แม้จำเลยที่ 1 ผู้จำนำมีสิทธิเข้าออกโกดังที่เก็บรักษาทรัพย์จำนำได้ตลอดเวลาดังที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง แต่เมื่อพิจารณาสัญญาจำนำแล้ว ไม่มีข้อความใดที่ให้สิทธิจำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 ได้เลย การนำทรัพย์จำนำออกจากสถานที่เก็บรักษาเพื่อการไถ่ถอนจำนำก็ดี (ข้อ 2.4) การนำทรัพย์จำนำไปขาย จำหน่าย จ่าย โอน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดภาระผูกพันหรือบุริมสิทธิใด ๆ กับทรัพย์จำนำก็ดี (ข้อ 4 (1)) หรือการนำทรัพย์จำนำเข้าออกจากสถานที่เก็บรักษาก็ดี (ข้อ 5) ล้วนแต่ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนทั้งสิ้น และไม่ถือว่าทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่การครอบครองของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด (ข้อ 2.3) หรือแม้แต่การดูแลรักษาทรัพย์จำนำตามสัญญารักษาทรัพย์จำนำก็ยังระบุในสัญญาให้ผู้รักษาทรัพย์จำนำดูแลและรักษาทรัพย์จำนำเพื่อประโยชน์ของโจทก์และแทนโจทก์เท่านั้น (ข้อ 2) อีกทั้งยังระบุไว้ชัดเจนว่าผู้รักษาทรัพย์จำนำมิได้ทำหน้าที่ในฐานะเป็นตัวแทนหรือลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่ได้ครอบครองและดูแลรักษาทรัพย์จำนำแทนจำเลยที่ 1 (ข้อ 5.2) รวมทั้งผู้รักษาทรัพย์จำนำไม่มีสิทธิเคลื่อนย้ายหรือนำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ หรือก่อให้เกิดภาระใด ๆ แก่ทรัพย์จำนำได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อน (ข้อ 5.3) จากข้อสัญญาดังกล่าวแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า คู่สัญญาประสงค์ให้ทรัพย์จำนำอยู่ในครอบครองของโจทก์ตลอดเวลา โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำทรัพย์จำนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด ๆ ในกิจการของตนได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากโจทก์ก่อนเท่านั้น ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้อนุญาตให้จำเลยที่ 1 นำทรัพย์จำนำออกไปใช้ประโยชน์ในกิจการของจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมให้ทรัพย์จำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของจำเลยที่ 1 สัญญาจำนำจึงหาระงับสิ้นไปไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อ้าง ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยเหตุผลอื่นตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่าจำนำยังไม่ระงับสิ้นไปและให้บังคับจำนำ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าชำระดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชำระดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญารับชำระหนี้โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงิน เลขที่ บน.17/2560 ในอัตราร้อยละ 14.50 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ในอัตราคงที่ตลอดไปนั้น หากนับถัดจากวันฟ้องมีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ต่ำกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดจะทำให้การคิดดอกเบี้ยตามอัตราคงที่นั้นเกินกว่าอัตราตามประกาศของโจทก์ในช่วงระยะเวลานั้นได้อันเป็นการไม่ชอบ จึงเห็นควรกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยถัดจากวันฟ้องปรับเปลี่ยนขึ้นลงตามประกาศของโจทก์ตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่ไม่ให้เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับดอกเบี้ยนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป ให้จำเลยทั้งห้ารับผิดในอัตราดอกเบี้ยกรณีผิดนัดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยของโจทก์ที่ประกาศต่อ ๆ ไปตามช่วงระยะเวลาที่ประกาศแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่อัตราดอกเบี้ยหลังวันฟ้องต้องไม่เกินอัตราที่ศาลล่างทั้งสองกำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ