โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองและนายโฆษิตเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๐๘ โจทก์ทั้งสองและนายโฆษิตได้ใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวทำเป็นถนนแยกจากซอยสามมิตร ถนนสุขุมวิท เรียกว่าซอยแยกสามมิตร แต่ยังคงสงวนสิทธิไว้ไม่ได้ยกให้เป็นถนนสาธารณประโยชน์ จำเลยได้ทำการก่อสร้างประตูปิดกั้นถนนลงในที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่ได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากโจทก์ทั้งสองและนายโฆษิตโจทก์ทั้งสองได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างและประตูออกไปจากที่ดินนั้น จำเลยรับทราบแล้วได้ยกบานประตูที่ปิดกั้นถนนออกไป แต่ยังหาได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นหลักใส่บานประตูซึ่งได้ ก่อสร้างในลักษณะกึ่งเสากึ่งกำแพงออกไปไม่ ขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนกำแพง ๒ ด้านออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ทั้งสองกับพวกได้จัดสรรที่ดินและตัดถนนซอยแยกซอยสามมิตรเข้าไปยังที่ดินจัดสรรทุกแปลง สิ้นสุดลงเป็นซอยตันในที่ดินจัดสรรนั้น โดยโจทก์ทั้งสองกับพวกได้ประกาศโฆษณาแก่ผู้ซื้อว่าเมื่อมีคนซื้อที่ดินติดซอยแยกนี้แล้วก็ให้ซอยแยกนี้ตกเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซอยนี้จึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาประมาณ ๑๑ ปีเศษแล้ว
ก่อนมีการสืบพยาน ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยแถลงว่า จำเลยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งก่อสร้างที่ใช้เป็นหลักใส่บานประตูในลักษณะกึ่งเสากึ่งกำแพงตามที่โจทก์ฟ้องขอให้รื้อถอนจำเลยไม่สามารถจะทำการรื้อถอนไปได้ เพราะมีผู้อื่นออกเงินค่าก่อสร้างเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย
โจทก์แถลงว่าฝ่ายโจทก์ก็เต็มใจจะรื้อให้ตามคำสั่งศาล และเมื่อศาลสั่งรื้อสิ่งพิพาทแล้วโจทก์ก็ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป และโจทก์แถลงด้วยว่าโจทก์ที่ ๑ มีบ้านอยู่ในซอยพิพาท ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนแสดงว่าเป็นถนนสาธารณะ
จำเลยแถลงรับว่าโจทก์ที่ ๑ มีบ้านอยู่ในซอยพิพาทจริง และซอยพิพาทไม่มีหลักฐานทางทะเบียนแสดงว่าเป็นถนนสาธารณะ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นหลักใส่บานประตูตามโจทก์ฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานนั้นว่าเป็นการมิชอบและอุทธรณ์คำพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่สิ่งก่อสร้าง ตั้งอยู่เป็นทางสาธารณะ ทั้งคำพิพากษาที่ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งที่ศาลฟังว่ามีบุคคลอื่นหลายคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมอยู่ก็เป็นการพิพากษาเกินคำขอของโจทก์และผูกพันไปถึงบุคคลภายนอกซึ่งจำเลยไม่อาจปฏิบัติได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไป แล้วพิพากษาใหม่
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ที่โจทก์ฎีกาว่าในเมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจนจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งแล้วเช่นนี้ หากศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็เท่ากับจำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ในปัญหานี้อยู่นั่นเองนั้น เห็นว่า กรณีหาเป็นดังเช่นที่โจทก์ฎีกาไม่เพราะการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเสียใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ มิใช่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้
ที่โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ จำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอนั้น เห็นว่าอำนาจของศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ นั้น หมายความว่าเมื่อคดีปรากฏตอ่ศาลอุทธรณ์ในเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งก็ดี ในเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาหรือมีเหตุที่ศาลได้ปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอสืบไว้ในศาลชั้นต้นก็ดี และศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุสมควร ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่ และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้โดยที่คู่ความผู้อุทธรณ์หาจำต้องกล่าวข้อความดังที่โจทก์ฎีกาไว้ในอุทธรณ์ไม่
ที่โจทก์ฎีกาว่าในประเด็นเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่จำเลยมิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ขึ้นมาเลยจึงต้องถือว่ายุติแล้วในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าเรื่องฟ้องเคลือบคลุมนี้จำเลยได้ให้การต่อสู้ไว้และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้วที่ศาลชั้นต้นมิได้ วินิจฉัยเรื่องนี้ไว้ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมิได้กล่าวในฟ้องอุทธรณ์ในประเด็นเรื่องโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนหรือไม่นั้นก็ดี และฎีกาว่าจากคำแถลงจำเลยและของโจทก์ในชั้นพิจารณา เห็นได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะต้องสืบพยานกันอีกนั้นก็ดี เห็นว่า ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ชัดว่าจำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่า จำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาทจำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้ มิได้มีข้อความตอนใดเลยว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้างจะเรียกได้อย่างไรว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้น แล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินและทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้ว ฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริงอันเป็นที่เห็นได้ชัดว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้อยู่อีกข้อหนึ่ง เพราะการที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่
พิพากษายืน