โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค ๒ ฉบับ และจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คเป็นการรับอาวัลทั้งประทับตรายี่ห้อลิ่มเม่งเฮงซึ่งเป็นพาณิชย์กิจของจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งสองมอบเช็คให้โจทก์ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๕๑,๗๖๓ บาท ๕๐ สตางค์แก่โจทก์พร้อมทั้งใช้ดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ออกเช็คให้โจทก์จริงแต่เพื่อค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกตามตั๋วเงิน มูลหนี้ตามเช็คระงับแล้วเพราะโจทก์จำเลยได้ตกลงแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์สมคบกับบุคคลอื่นได้เช็คมาโดยไม่ชอบจำเลยไม่เคยสลักหลังเช็คหรือประทับตรายี่ห้อลิ่มเม่งเฮง โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ทั้งหนี้ตามเช็คระงับไปแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๕๐,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ระหว่างผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๔๐๖.๒๕ บาท รวมเงิน ๕๑,๔๐๖.๒๕ บาทแก่โจทก์ กับให้ใช้ดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวในต้นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ ๑ ออกเช็ค ๒ ฉบับ ฉบับละ ๒๕,๐๐๐ บาท แลกเงินสดที่กู้ไปจากโจทก์ โจทก์นำเช็คไปขึ้นเงินธนาคารธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้นำเช็คทั้งสองฉบับไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ พนักงานสอบสวนได้เรียกโจทก์ และจำเลยที่ ๑ มาไกล่เกลี่ยและทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสาร ล.๑ ไว้เป็นหลักฐาน
ปัญหาวินิจฉัยข้อแรกคือ บันทึกของพนักงานสอบสวนฉบับลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๔ ตามเอกสารหมาย ล.๑ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
ข้อความในเอกสารหมาย ล.๑ มีว่า "ต่อมาในวันนี้ ......ได้เรียกนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง (คือจำเลยที่ ๑) พร้อมกับนายไพบูลย์ แสงเจริญตระกูล (คือโจทก์) ทั้งสองฝ่ายมาสถานีตำรวจนครบาลพระโขนง ๑ ทำการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว ทางฝ่ายนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง ได้รับว่าตนได้ขอยืมเงินสดจำนวน๕๐,๐๐๐ บาทจากนายไพบูลย์ แสงเจริญตระกูลไปจริง และได้ออกเช็คของธนาคารไทยพัฒนาทั้งสองฉบับไว้เป็นหลักค้ำประกันเงินที่ขอยืมไปจริงในวันนี้ได้ทำการตกลงกันได้ความว่า ทางฝ่ายนายฮั่งตัง แซ่อึ้ง ยินยอมผ่อนชำระให้เป็นรายเดือน เดือนละ ๒,๐๐๐ บาท โดยจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่ ๑๕ ของทุก ๆ เดือนจนกว่าจะหมดจำนวนเงินที่ค้างอยู่ เห็นว่าทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ จึงได้จัดทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน"
ศาลฎีกาเห็นว่า เช็คทั้งสองฉบับของจำเลยที่ ๑ ยังมิได้ใช้เงินตามเช็คนั้น ๆ หนี้ย่อมไม่ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑ ทั้งความประสงค์ตามบันทึกเอกสารหมาย ล.๑ หาใช่เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความอย่างใดไม่ เพราะมิได้กล่าวถึงการคืนเช็คหรือยกเลิกเพิกถอนเช็ค จึงเป็นเพียงความตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คเท่านั้น สิทธิและความรับผิดชอบระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ ยังคงมีอยู่ต่อกันตามเช็ค หาได้ระงับสิ้นไปไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยที่ ๑ ใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ ๒ เซ็นชื่อประทับตรายี่ห้อร้านสลักหลังรับอาวัลตามเช็คทั้งสองฉบับของจำเลยที่ ๑ จริง จำเลยที่ ๒ จำต้องรับผิดใช้เงินร่วมกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น