โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายกอง และมีสิทธิได้รับมรดกของนายกองผู้ตายขอให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกของนายกองให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของนายกอง ทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลย จำเลยไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาในวันนัดสืบพยานจำเลยหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติม โจทก์คัดค้าน ศาลอนุญาตและสืบพยานจำเลยไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกของนายกองให้แก่โจทก์บางส่วน
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยส่งมอบทรัพย์มรดกของนายกองให้แก่โจทก์ทั้งหมด
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยยื่นบัญชีระบุพยานลงวันที่ 4 มิถุนายน 2525 โดยระบุอ้างจำเลยคนเดียวเป็นพยาน จนหลังจากศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2525 แล้ว จำเลยจึงเพิ่งยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2525 อันเป็นวันสืบพยานจำเลยโดยอ้างว่าจำเลยยังขาดพยานสำคัญ จึงขอระบุพยานจำเลยเพิ่มเติมรวม 6 อันดับ โจทก์แถลงคัดค้านว่าเป็นการเอาเปรียบโจทก์ ทำให้โจทก์เสียเปรียบในเชิงคดี ศาลชั้นต้นอนุญาตและทำการสืบพยานจำเลยนอกจากตัวจำเลย ตามบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของจำเลยเสร็จในวันเดียวกันนั้น โดยจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้น โดยอ้างเหตุอันสมควรแสดงว่าไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานดังกล่าวมาสืบเพื่อประโยชน์ของจำเลยเองหรือไม่สามารถทราบว่าพยานดังกล่าวได้มีอยู่หรือมีเหตุสมควรอื่นใด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้าย และการจะอนุญาตให้ระบุพยานเพิ่มเติมเช่นว่านี้ก็ต้องเป็นกรณีจำเป็นจะต้องสืบพยานนั้น ๆ เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งคดีเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ดังนี้ เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้ศาลชั้นต้นสืบพยานดังกล่าวมาแล้วก็ย่อมต้องห้ามไม่ให้รับฟัง ชอบแล้ว
พิพากษายืน