โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 335, 336 ทวิ ให้จำเลยคืนผลปาล์มน้ำมันน้ำหนัก 500 กิโลกรัม น้ำหนัก 1,100 กิโลกรัม และน้ำหนัก 950 กิโลกรัม ที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 12,400 บาท แก่ผู้เสียหาย ริบรถกระบะของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (8) วรรคสอง, ประกอบมาตรา 336 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี 6 เดือน และปรับ 12,000 บาท รวม 4 กระทง จำคุก 4 ปี 24 เดือน และปรับ 48,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 12 เดือน และปรับ 24,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย 1 ปี โดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดกับให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ห้ามจำเลยออกจากบ้านพักระหว่างเวลา 22 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา เป็นเวลา 31 วัน โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดไว้กับจำเลยตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด ให้จำเลยเข้าร่วมรับการอบรมธรรมพุทธที่สำนักงานคุมประพฤติจัดขึ้นตามที่จำเลยและพนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบรถกระบะของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่คุมความประพฤติของจำเลย ยกคำขอให้คืนผลปาล์มน้ำมันที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกนั้น เห็นว่า ได้ความจากรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติโดยจำเลยไม่คัดค้านว่า จำเลยเคยทำงานเป็นช่างซ่อมรถในลานเทปาล์มของผู้เสียหายนานประมาณ 2 ปีเศษ ขณะที่จำเลยทำงานกับผู้เสียหายจำเลยมีพฤติกรรมเล่นการพนันไก่ชน และเสพยาเสพติด ผู้เสียหายเคยว่ากล่าวตักเตือนจำเลย ต่อมาระยะหลังจำเลยเริ่มมีพฤติกรรมคดโกงผู้เสียหายในการทำงาน เช่น โกงเงินค่าซื้ออะไหล่รถโดยไปซื้อของเก่ามาแทนของใหม่ เป็นต้น ผู้เสียหายจึงเลิกจ้าง ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยเป็นไปโดยอาศัยข้อมูลที่ล่วงรู้จากที่เคยทำงานเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายว่าในเวลากลางคืนจะไม่มีบุคคลอยู่ในลานเทปาล์ม จึงวางแผนกลับมาลักผลปาล์มน้ำมันของผู้เสียหายโดยใช้รถกระบะเพื่อบรรทุกพาผลปาล์มน้ำมันในลักษณะเตรียมการไว้ล่วงหน้า ทั้งจำเลยกระทำความผิดในลักษณะต่างกรรมต่างวาระ 4 ครั้ง รวมน้ำหนักผลปาล์มน้ำมันมากถึง 3,550 กิโลกรัม โดยจำเลยใช้รถกระบะดังกล่าวเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นการจับกุมอีกด้วย นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากผลปาล์มน้ำมันที่ยังไม่ได้คืนแล้ว หรือมีฐานะยากจน หรือมีภาระต้องอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัว หรือมีเหตุอื่นดังที่อ้างในฎีกา ก็ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นรวมโทษทุกกระทงแล้วจึงลดโทษให้จำเลย แทนที่จะลดโทษแต่ละกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ ย่อมเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่าการลดโทษแต่ละกระทงเสียก่อนแล้วจึงรวมเข้าด้วยกัน เพราะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่า หากกำหนดโทษจำคุกเป็นเดือน ให้นับสามสิบวันเป็นหนึ่งเดือน แต่ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการ ดังนั้น การกำหนดโทษจำคุก 12 เดือน ย่อมมีกำหนดเท่ากับ 360 วัน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนวันตามปีปฏิทินที่อาจมีถึง 366 วัน หรือ 365 วัน สุดแท้แต่ว่าจะเป็นปีอธิกสุรทินหรือปีจันทรคติ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้จำเลยกระทงละกึ่งหนึ่งแล้ว คงลงโทษจำคุกกระทงละ 9 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 36 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8