โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำความตกลงซื้อขายข้าวนึ่งไทย ชนิด 5% แบบ เอฟ.โอ.บี (F.O.B.) จากท่าเรือกรุงเทพฯ ถึงท่าเรือชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก โดยกำหนดให้จำเลยทั้งสองส่งมอบสินค้าลงเรือ ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ ซึ่งโจทก์จะเป็นผู้นำเรือมารับสินค้า ณ ท่าเรือกรุงเทพฯ เอง และโจทก์จะชำระค่าสินค้าผ่านทางธนาคารอินโดสุเอซ สาขาเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มายังธนาคารกรุงเทพ จำกัด สำนักงานใหญ่ซึ่งเป็นธนาคารตัวแทนของจำเลยทั้งสอง ต่อมาโจทก์ก็ได้ดำเนินการตามที่ตกลงไว้แล้ว โดยเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตส่งมายังธนาคารกรุงเทพจำกัด สำนักงานใหญ่ หลังจากนั้นโจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองทราบว่าโจทก์จะนำเรือมารับสินค้าที่ท่าเรือกรุงเทพฯ ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบสินค้าให้โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองมีหนังสือถึงโจทก์ปฏิเสธที่จะส่งมอบสินค้าตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลย การผิดสัญญาดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถส่งสินค้าให้บริษัทโซซิเอเต้ เยเนราลอาฟริแคน จำกัด ได้ นอกจากนี้โจทก์ยังต้องเสียค่าปรับในการจองเรือแล้วไม่ได้ใช้เรือ และเสียค่าใช้จ่ายในการส่งพนักงานของโจทก์จากต่างประเทศมาเตรียมรับมอบสินค้าจากจำเลยทั้งสองที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งบรรดาค่าเสียหายต่าง ๆ ทั้งหมดนี้จำเลยทั้งสองทราบดีอยู่แล้วในขณะทำสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 18,381,132.48 บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำความตกลงจะขายข้าวนึ่งให้โจทก์และไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 2 ทำความตกลงจะขายข้าวนึ่งให้โจทก์และไม่ได้รับชำระหนี้ตามเลตเตอร์ออฟเครดิตตามที่โจทก์กล่าวอ้างสัญญาซื้อขายข้าวนึ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ยังไม่เกิดขึ้นจำเลยที่ 1 ไม่เคยส่งโทรพิมพ์ถึงโจทก์ โจทก์ส่งเรือมารับข้าวที่ท่าเรือกรุงเทพฯ เพื่อรับข้าวจากผู้ขายรายอื่น จำเลยที่ 1ไม่ทราบว่าโจทก์จะซื้อข้าวไปขายให้ผู้ใดในต่างประเทศ และไม่สามารถคาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นว่าโจทก์จะถูกเรียกค่าเสียหายจากผู้หนึ่งผู้ใดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายจากพฤติการณ์พิเศษ โจทก์ไม่ได้เสียเงินค่าปรับให้เจ้าของเรือบรรทุกสินค้า จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าติดต่อในทางการค้าจากจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้จักหรือเคยติดต่อค้าขายกับโจทก์ทั้งไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ทำความตกลงซื้อขายข้าวนึ่งตามที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์ไม่เคยมีหนังสือบอกกล่าวหรือทวงถามถึงจำเลยที่ 2 ก่อนฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้มีโทรพิมพ์ติดต่อซื้อขายข้าวนึ่งต่อกันตามเอกสารหมาย จ.5ถึง จ.9 ภายหลังติดต่อกันทางโทรพิมพ์แล้ว โจทก์ได้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตมายังธนาคารกรุงเทพ จำกัด เพื่อชำระเงินค่าข้าวนึ่งตามที่มีการติดต่อกันไว้ตามโทรพิมพ์เอกสารหมาย จ.5ถึง จ.9 แต่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถจัดส่งข้าวนึ่งให้โจทก์ได้เพราะเงื่อนไขตามเลตเตอร์ออฟเครดิตที่กำหนดไว้ทางจำเลยที่ 1 ไม่สามารถปฏิบัติได้ ปัญหาตามฎีกาโจทก์มีว่า สัญญาซื้อขายข้าวนึ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเกิดขึ้นตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าการซื้อขายข้าวนึ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อการเจรจายุติลงตามเอกสารโทรพิมพ์หมาย จ.5 ถึง จ.9 แต่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง กำหนดว่าสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันมีราคาห้าร้อยบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปสัญญาจะซื้อจะขาย คำมั่นในการขายทรัพย์ที่มีราคาห้าร้อยกว่าบาทหรือกว่านั้นขึ้นไปต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดด้วย หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ ตามเอกสารหมาย จ.5 ถึง จ.9 ไม่ปรากฏหลักฐานการชำระหนี้บางส่วนหรือการวางมัดจำหรือลายมือชื่อของจำเลยทั้งสองที่ต้องรับผิด โจทก์จึงไม่สามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีแก่จำเลยทั้งสองได้ ที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งว่า มีแกงไดในเอกสารดังกล่าวศาลฎีกาตรวจแล้วเห็นว่า เป็นเรื่องที่มิได้โต้แย้งและว่ากล่าวมาก่อนในศาลชั้นต้น ทั้งไม่ปรากฏแกงไดในเอกสารดังโจทก์อ้างแต่อย่างใด คดีฟังได้ว่า สัญญาตกลงซื้อขายข้าวนึ่งระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่สามารถจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์ในปัญหาอื่นต่อไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน