โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 318 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง (เดิม), 318 วรรคสาม (เดิม) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 19 ปีเศษ เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตนอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จำคุก 10 ปี รวมเป็นจำคุก 12 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ผู้เสียหายที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2530 ขณะเกิดเหตุอายุ 16 ปีเศษ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของนาย ช. ผู้เสียหายที่ 2 ไปเพื่อการอนาจาร และร่วมกันฉุดผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นรถจักรยานยนต์ไปข่มขืนกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล บ. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คู่ความไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า บิดามารดาผู้เสียหายที่ 1 ฝากผู้เสียหายที่ 2 ให้เป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เสียหายที่ 1 คืนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 เห็นนางสาว พ. และนางสาว ก. ส่งเสียงเอะอะโวยวายบอกว่าโดนฉุดแต่หนีมาได้ แล้วช่วยกันตามหาผู้เสียหายที่ 1 และโจทก์มีร้อยตำรวจเอกหญิง ศ. พนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความว่า พยานสอบคำให้การผู้เสียหายที่ 1 นางสาว พ. นางสาว ก. และนางสาว ด. ได้ความว่าทั้งสี่คนขับรถจักรยานยนต์ไปที่ปากซอยวัดหนองใหญ่เพื่อโทรศัพท์ ระหว่างนั้นมีคนร้ายสี่คนขับรถจักรยานยนต์มาสองคัน คันแรกนาย อ. เป็นคนขับ นาย ป. นั่งซ้อนท้าย คันที่สองคนขับไม่ทราบว่าชื่ออะไร แต่คนที่นั่งซ้อนท้ายคือจำเลย ผู้เสียหายที่ 1 ถูกคนร้ายฉุดกระชากขึ้นรถจักรยานยนต์ที่นาย อ. ขับ มีนาย ป. นั่งซ้อนท้ายไปที่ป่าข้างทาง จากนั้นนาย ป. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยเข้ามาข่มขืนกระทำชำเราต่อ และนาย ป. เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อีกครั้ง ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ยืนยันภาพคนร้ายสามคนคือนาย ป. นาย อ. และจำเลย นอกจากนี้โจทก์มีพันตำรวจโท ส. พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายที่ 1 มาให้การเพิ่มเติมชี้ภาพถ่ายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย เห็นว่า แม้ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายที่ 1 นางสาว ก. นางสาว พ. และนางสาว ด. เต็มมาเบิกความเป็นพยาน คงมีเพียงบันทึกคำให้การของบุคคลดังกล่าว โดยผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันถึงตัวคนร้ายและจำเลยที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันเป็นเพียงพยานบอกเล่า ซึ่งในการวินิจฉัยพยานบอกเล่าที่จำเลยไม่มีโอกาสถามค้าน ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานดังกล่าวมาเบิกความในชั้นพิจารณาเนื่องจากไม่ทราบที่อยู่ของพยาน โดยโจทก์ใช้เวลาติดตามพยานเป็นเวลาถึง 5 เดือนเศษ แล้ว นับว่ามีเหตุจำเป็นที่โจทก์ไม่สามารถนำพยานซึ่งเป็นผู้ที่ได้เห็นและได้ยินเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนี้ด้วยตนเองโดยตรงมาเป็นพยานได้ และเมื่อจำเลยหลบหนีไปนานจนติดตามพยานได้ยาก กรณีเช่นนี้ย่อมมีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะรับฟังพยานบอกเล่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) และถือได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่จะรับฟังบันทึกคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ที่เบิกความไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2726/2559 ของศาลชั้นต้น ประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/5 ซึ่งผู้เสียหายที่ 1 เบิกความยืนยันในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องข้างต้นว่า ผู้เสียหายที่ 1 พักอาศัยและทำงานกับผู้เสียหายที่ 2 คืนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 นางสาว พ. นางสาว ด. และนางสาว ก. ไปปากซอย เห็นกลุ่มคนร้ายสี่คนเดินเข้าไปฉุดกระชากนางสาว พ. และนางสาว ด. เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ลงจากรถจักรยานยนต์ คนร้ายเดินเข้ามา นางสาว ก. วิ่งหนีไป ส่วนผู้เสียหายที่ 1 ถูกนาย ป. ลากไปที่รถจักรยานยนต์ซึ่งมีนาย อ. เป็นคนขับ นาย ป. บังคับให้ผู้เสียหายที่ 1 นั่งตรงกลางแล้วนั่งประกบท้าย นาย อ. ขับรถจักรยานยนต์พาไปบริเวณอ่างเก็บน้ำมาบประชัน โดยมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์อีกคันตามมา ระหว่างทางนาย ป. ถอดเสื้อและกางเกงผู้เสียหายที่ 1 เมื่อถึงป่านาย อ. จอดรถจักรยานยนต์และถอดหมวกนิรภัยออก นาย ป. ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 แล้วนาย อ. และคนร้ายอีกสองคนเข้ามาข่มขืนกระทำชำเรา โดยนาย อ. ชักอาวุธปืนสั้นโชว์ ผู้เสียหายที่ 1 กลัวจึงไม่ได้ต่อสู้ขัดขืน จากนั้นนาย อ. และนาย ป. พาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่ห้องพัก หลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 บอกเพื่อนและผู้เสียหายที่ 2 ว่าถูกข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายที่ 2 พาผู้เสียหายที่ 1 ไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนาย อ. กับพวก เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและส่งผู้เสียหายที่ 1 ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล บ. ผู้เสียหายที่ 1 จำคนร้ายสามคนที่ข่มขืนกระทำชำเราได้ ผู้เสียหายที่ 1 ให้การครั้งแรกว่าจำหน้าคนร้ายได้ทั้งหมด และให้การเพิ่มเติมครั้งที่สองว่ามีบุคคลใดข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 โดยได้ชี้ยืนยันภาพถ่ายคนร้ายและนางสาว พ. กับนางสาว ด. เบิกความยืนยันในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องว่า นางสาว ก. ขับรถจักรยานยนต์ไปส่งนางสาว พ. และนางสาว ด. ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วไปรับผู้เสียหายที่ 1 ระหว่างนั้นมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์สองคัน คนร้ายสองคนเดินเข้ามาฉุดกระชากนางสาว พ. และนางสาว ด. ให้ออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ คนร้ายตบนางสาว พ. และนางสาว ด. ที่บริเวณศีรษะ นางสาว ก. ขับรถจักรยานยนต์เข้ามาโดยมีผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้าย คนร้ายเข้าไปหา นางสาว ก. และผู้เสียหายที่ 1 วิ่งหนีแต่ผู้เสียหายที่ 1 กลุ่มคนร้ายพาตัวไปได้ นางสาว พ. ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาว ก. จำคนร้ายได้ ภาพแรกคือนาย ป. ซึ่งเป็นคนตบนางสาว พ. ภาพที่ 2 จำไม่ได้ว่าคนร้ายตามภาพทำอะไรกับนางสาว พ. หรือไม่ ส่วนภาพที่ 3 เป็นคนร้ายที่ฉุดกระชากนางสาว พ. ผู้เสียหายที่ 1 และนางสาว ก. แม้คำเบิกความดังกล่าวเกิดขึ้นหลังเกิดเหตุถึง 1 ปีเศษ แต่ก็ยังสอดคล้องกับพยานโจทก์ข้างต้น โดยผู้เสียหายที่ 1 ได้ให้การชั้นสอบสวนบอกเล่าเหตุการณ์ รายละเอียดและขั้นตอนการกระทำผิดของจำเลยกับพวกใกล้ชิดกับวันเกิดเหตุต่อหน้าพนักงานอัยการและนักสังคมสงเคราะห์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลายฝ่าย โดยยืนยันถึงตัวคนร้ายและจำเลยที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายที่ 1 เบิกความในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องยืนยันถึงเหตุที่จำจำเลยได้เนื่องจากมีแสงสว่างไฟฟ้าตลอดเส้นทาง เห็นจำเลยตั้งแต่แรกที่มีการฉุดกระชากผู้เสียหายที่ 1 จนข่มขืนกระทำชำเรา และหลังเกิดเหตุได้ชี้ภาพถ่ายจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ให้การในชั้นสอบสวนและเบิกความในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องไปตามความจริง ไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงเพื่อปรักปรำจำเลยได้ แม้ผู้เสียหายที่ 1 จะไม่ได้ให้การในชั้นสอบสวนครั้งแรกว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราไว้ แต่ก็ปรากฏตามคำให้การชั้นสอบสวนว่า ผู้เสียหายที่ 1 ไม่กล้าบอกความจริงเนื่องจากมีความอับอาย เมื่อขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ให้การชั้นสอบสวนมีอายุเพียง 16 ปี แสดงให้เห็นถึงความคิดตามประสาเด็กที่ยังอ่อนวัยของผู้เสียหายที่ 1 หากไม่เป็นความจริงคงไม่กล้านำเรื่องที่ทำให้ตนเองและครอบครัวเสื่อมเสียชื่อเสียงมาให้การต่อพนักงานสอบสวนเช่นนี้ได้ นอกจากนี้แม้คำให้การชั้นสอบสวนและการเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ในคดีที่นาย อ. ถูกฟ้องจะแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยร่วมกันเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ว่า เป็นคนที่สองหรือคนที่สามก็ตาม ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกันเข้าไปข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อยู่ด้วยเช่นกัน หาได้ทำให้คำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 เป็นพิรุธถึงกับรับฟังไม่ได้แต่อย่างใดไม่ เมื่อผลการตรวจชันสูตรของแพทย์ ได้ความว่า ผู้เสียหายที่ 1 บาดเจ็บมีบาดแผลถลอกตกสะเก็ดบริเวณเข่าซ้ายยาว 1 เซนติเมตร เยื่อพรหมจารีฉีกขาดเก่า ตรวจพบตัวอสุจิ สารที่เป็นส่วนประกอบของน้ำกามเพศชาย แพทย์ให้ความเห็นตรวจพบหลักฐานว่าผ่านการร่วมประเวณี เชื่อได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ถูกจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงจริง พยานหลักฐานโจทก์รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ยังเป็นผู้เยาว์ไม่ได้บรรลุนิติภาวะ และพักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแล การที่จำเลยกับพวกร่วมกันฉุดและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำอันมีเจตนาล่วงล้ำอำนาจผู้ปกครองหรือผู้ดูแลของผู้เสียหายที่ 2 แล้ว การกระทำของจำเลยย่อมมีความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วยเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น