โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2514 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจพรากนางสาวสอาด อายุ 17 ปี ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะพาไปหางานทำที่กรุงเทพฯ จนนางสาวสอาดหลงเชื่อยินยอมไปกับจำเลย และต่อมาในวันรุ่งขึ้นเวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจข่มขืนกระทำชำเรานางสาวสอาดจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 319, 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276, 319, 91 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักกระทงหนัก ลดรับสารภาพแล้วจำคุก 1 ปี และรอการลงโทษให้
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษหนักขึ้นโดยไม่รอ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 แก้ไขตามประกาศของคณะปฏิวัติ (ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 7 และมาตรา 319 แก้ไขตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 12 ลงโทษตาม มาตรา 276 และมาตรา 319 เดิม ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยตามมาตรา 3 โดยให้ลงโทษตามมาตรา 276 อันเป็นกระทงหนัก ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน2514 ข้อ 7 และข้อ 14 นั้นไม่ถูกเพราะประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวไม่เป็นคุณแก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิด ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1586/2505 ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดเบตง โจทก์ นายเล่าซิว แซ่เล้า จำเลยส่วนดุลพินิจของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่เหมาะสม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 และมาตรา 319 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 อันเป็นกระทงที่หนักที่สุดตามมาตรา 91 จำคุก 4 ปี ลดโทษตามมาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 5 ปี ตามมาตรา 56