โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแต่ละสำนวน รวม ๒๗ สำนวน (ขึ้นมาสู่ศาลฎีกา ๒๔ สำนวน) เข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในบริเวณที่ดินของวัดใหม่ (ร้าง) ซึ่งเป็นศาสนสมบัติโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้ความยินยอม ต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๘ โจทก์ประสงค์จะใช้ที่ดินในบริเวณวัดใหม่รวมทั้งที่ดินที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอาคารอยู่ด้วยเพื่อหารายได้ ได้แจ้งให้จำเลยทราบและให้ออกจากอาคารไม้ดังกล่าว จำเลยเพิกเฉย การกระทำของจำเลยแต่ละสำนวนทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันควรมีควรได้จากที่ดินแต่ละสำนวนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนและบริวารอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารพิพาทซึ่งอยู่ในบริเวณวัดใหม่ และให้จำเลยแต่ละสำนวนชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้ง ๒๗ สำนวนและบริวาร รื้อถอนอาคารพิพาทในแต่ละสำนวนออกไปจากที่ดินบริเวณวัดใหม่ตามฟ้อง ถ้าจำเลยสำนวนใดไม่ยอมรื้อถอนอาคารของตนออกไป ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยสำนวนนั้นเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ให้จำเลยแต่ละสำนวนใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๑๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่พิพาท
จำเลยใน ๒๖ สำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยใน ๒๔ สำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า+ คดีแต่ละสำนวนในเรื่องนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งได้บุกรุกเข้าไปปลูกอาคารไม้เป็นที่อยู่อาศัยในที่ดินของวัดใหม่ (ร้าง) อันเป็นสาธารณสมบัติซึ่งอยู่ในความดูแลของโจทก์ แม้โจทก์จะไม่บรรยายฟ้องว่าที่พิพาทตรงที่จำเลยบุกรุกอาคารไม้แต่ละสำนวนนั้น อาจให้เช่าได้เดือนละเท่าใดแต่โจทก์ก็เรียกค่าเสียหายมาในแต่ละสำนวนเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เมื่อเทียบกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องดังกล่าวแล้วพอฟังได้ว่าที่พิพาทแต่ละสำนวนโจทก์อาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เท่ากับอัตราค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องจำเลยแต่ละสำนวนมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นให้ขับไล่จำเลยแต่ละสำนวนออกไปจากที่พิพาท คดีแต่ละสำนวนจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ คดีเรื่องนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าที่พิพาทเป็นของวัดใหม่อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่จะดูแลรักษาและจัดการ ที่พิพาทไม่ใช่ธรณีสงฆ์ของวัดภูเขาดินดังจำเลยนำสืบ จำเลยฎีกาว่าเจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์มีอำนาจสั่งรวมวัดใหม่เข้ากับวัดภูเขาดินได้ ฎีกาของจำเลยดังกล่าวมีผลเท่ากับเป็นการโต้เถียงว่า ที่พิพาทไม่ใช่เป็นของวัดใหม่แต่เป็นของวัดภูเขาดินโดยเจ้าคณะจังหวัดฯ มีอำนาจสั่งรวมวัดใหม่เข้ากับวัดภูเขาดินดังจำเลยนำสืบ อันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนั้นเอง จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ นั้น ฎีกาข้อนี้เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยแต่ละสำนวนเข้าไปปลูกอาคารไม้ในที่พิพาทโดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ให้ความยินยอม การที่โจทก์ขอบังคับให้จำเลยแต่ละสำนวนอพยพขนย้ายออกไปจากอาคารไม้ที่จำเลยแต่ละสำนวนปลูกอยู่ในที่พิพาทนั้น ย่อมหมายถึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารนั้นด้วย และอาคารไม้พิพาทก็เป็นของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อไปแล้ว จำเลยจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกไม่ได้ ทรัพย์ใดๆ ของจำเลยซึ่งอยู่ในที่พิพาท จำเลยจึงต้องเอาออกไปให้พ้นที่พิพาทด้วยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร รื้อถอนอาคารพิพาทออกไปจากที่ดินบริเวณวัดใหม่ตามฟ้อง จึงหาเป็นการเกินคำขอหรือนอกฟ้องไม่ ส่วนที่ศาลชั้นต้นพิพากษาต่อไปว่า ถ้าจำเลยสำนวนใดไม่ยอมรื้อถอนอาคารของตนออกไปให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเองโดยจำเลยสำนวนนั้นๆ เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ก็อยู่ในวิธีการบังคับคดีเพื่อให้ดจำเลยรื้อถอนอาคารของตนออกไปจากที่พิพาทนั่นเอง ซึ่งเป็นเรื่องกระทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๓
พิพากษายืน.