โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 289, 340, 340 ตรี และ 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72 และ 72 ทวิ พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 4, 6, 22 และ 23 ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง กับริบวิทยุคมนาพร้อมอุปกรณ์ของกลางเพื่อให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1692/2538 ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยอมรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่, 340 ตรี และ 371 ประกอบมาตรา 80 และ 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสองจำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่,340 ตรี และ 371 ประกอบมาตรา 80 และ 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง และ72 ทวิ วรรคสอง พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6และ 23 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงและใช้ยานพาหนะจำคุกคนละ 20 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุกคนละ 2 ปี ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี ฐานมีวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 24 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 25 ปีลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1และที่ 2 คนละ 16 ปี ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางกับริบวิทยุคมนาคมพร้อมอุปกรณ์เพื่อให้ไว้ใช้ในราชการกรมไปรษณีย์โทรเลข นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 2ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1692/2538 ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีคำขอและข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้องมีคนร้ายจำนวน 3 คน เข้าไปในบ้านนายวิสุทธิ์ บุญเสริม ผู้เสียหายและได้ใช้อาวุธปืนยิงผ่านใต้โต๊ะ กระสุนปืนถูกร่างกายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บ ในวันเกิดเหตุหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสามได้พร้อมรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน บ-4507 นครศรีธรรมราช และยึดวิทยุมือถือได้จำนวน 1 เครื่อง ซึ่งจำเลยที่ 3 พกติดตัวเป็นของกลาง
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ประการแรกมีว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นคนร้ายซึ่งพยายามปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายตามฟ้องหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสวนแล้วฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับพวกอีก 2 คน กระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง สำหรับจำเลยที่ 3 แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความว่ารู้เห็นว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นทรัพย์ครั้งนี้อย่างไรก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 ก็เบิกความรับว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 3 ไปนั่งรับประทานอาหารกับจำเลยที่ 1 ที่ร้านอาหารชื่อสายธารตำบลทุ่งคาโงก อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา โดยจำเลยที่ 3ชวนจำเลยที่ 2 กับชายอีกคนหนึ่งไปนั่งรับประทานอาหารด้วย แต่จำเลยที่ 2 กับชายอีกคนหนึ่งไม่ยอมลงจากรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่จำเลยที่ 1 ขับ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่10 เมษายน 2536 ทั้งหมดนั่งรถมาด้วยกันมุ่งหน้าไปทางจังหวัดพังงาและมาถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ระหว่างทางพร้อมกัน ซึ่งก็เจือสมคำเบิกความของสิบตำรวจตรีสายชล กอประเสริฐสุดพยานโจทก์ซึ่งเบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2536 เวลา 1 นาฬิกาเศษหลังจากได้รับแจ้งเหตุทางวิทยุว่ามีคนร้าย 4 ถึง 5 คน เข้าปล้นบ้านผู้เสียหายขณะปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ป้อมยามสามแยกนบปริงสิบตำรวจตรีนรากร แสวงกิจ และพลตำรวจพูลศักดิ์ มณเฑียรได้เดินทางไปดูที่เกิดเหตุ ส่วนสิบตำรวจตรีสายชลประจำอยู่ที่ป้อมยามและได้รับแจ้งว่าคนร้ายที่ปล้นทรัพย์จะขับรถผ่านมาทางป้อมยามเป็นรถยนต์กระบะบิกเอ็มสีน้ำเงิน หลังจากนั้นประมาณ7 ถึง 8 นาที มีรถยนต์คันหนึ่งแล่นผ่านมามีลักษณะตรงกับที่ได้รับแจ้ง มีชายนั่งมาในรถ 4 คน สิบตำรวจตรีสายชลเรียกให้หยุดเพื่อตรวจค้น สิบตำรวจตรีสายชลรู้จักชายที่นั่งมาในรถคนหนึ่งคือจำเลยที่ 3 ซึ่งก่อนเหตุการณ์ดังกล่าวสิบตำรวจตรีนรากรเบิกความว่าเมื่อได้รับแจ้งเหตุทางวิทยุ พลตำรวจพูลศักดิ์ขับรถจักรยานยนต์โดยพยานนั่งซ้อนท้ายจากป้อมยามสามแยกนบปริงไปยังที่เกิดเหตุซึ่งอยู่ห่างจากป้อมยามประมาณ 7 กิโลเมตรก่อนจะถึงบ้านที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ได้สวนทางกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินป้ายทะเบียนนครศรีธรรมราช มีชาย 3 ถึง4 คนนั่งมาในรถยนต์กระบะคันนั้น โดยแล่นมาจากบ้านที่เกิดเหตุมุ่งหน้าไปทางสามแยกนบปริง พยานจึงวิทยุแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ป้อมยามให้สกัดจับ เหตุการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามเอกสารหมาย จ.25 และจ.26 คำให้การดังกล่าวมีความยาวถึง 8 หนาประกอบด้วยรายละเอียดข้อเท็จจริงในการกระทำความผิดครั้งนี้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มวางแผนปล้นทรัพย์ ขณะปล้นทรัพย์และภายหลังการปล้นทรัพย์สถานที่วางแผน และสถานที่นัดพบ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ให้การไว้เช่นนั้นแล้วก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะล่วงรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวและบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้อย่างต่อเนื่องละเอียดละออเช่นนั้น จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อพนักงานสอบสวนตามความเป็นจริง คำให้การดังกล่าวได้ระบุถึงจำเลยที่ 3 ว่าเป็นผู้วางแผนการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย โดยกำหนดให้จำเลยที่ 2 นายสายันต์ไม่ทราบนามสกุล และตำรวจตระเวนชายแดนชื่อหัวแดงเข้าไปปล้นทรัพย์ในบ้านผู้เสียหาย และจำเลยที่ 3กับจำเลยที่ 1 ไปส่งบุคคลทั้งสามดังกล่าวลงจากรถยนต์กระบะสีน้ำเงินไปทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย แล้วจำเลยที่ 3 และที่ 1 ไปรอที่ร้านอาหารสายธารและย้อนกลับมาดูบุคคลทั้งสาม พบจำเลยที่ 2 และตำรวจตระเวนชายแดนชื่อหัวแดงจึงทราบว่าปล้นทรัพย์ผู้เสียหายไม่สำเร็จ และมาถูกเจ้าพนักงานตำรวจสกัดจับโดยตำรวจตระเวนชายแดนชื่อหัวแดงหลบหนีไปได้ แม้คำให้การดังกล่าวจะเป็นคำให้การของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่ก็มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นความจริงเพราะมีรายละเอียดว่าจำเลยทั้งสามกับพวกได้มีส่วนในการกระทำความผิดครั้งนี้อย่างไร และบางตอนก็สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ในชั้นพิจารณา ดังนั้น แม้จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยที่ 3 มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดครั้งนี้อย่างไรและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นเพียงพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อยก็ตาม แต่โจทก์ก็มีพยานหลักฐานอื่นประกอบให้เห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความจริง โดยโจทก์มีสิบตำรวจตรีนรากรและสิบตำรวจตรีสายชลพยานโจทก์ยืนยันว่าได้พบเห็นจำเลยที่ 3 อยู่กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในเวลาใกล้ชิดกับเวลาเกิดเหตุ คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ดังกล่าวฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้วางแผนในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ไปส่งจำเลยที่ 2นายสายันต์และตำรวจตระเวนชายแดนชื่อหัวแดงลงจากรถยนต์กระบะสีน้ำเงินไปทำการปล้นทรัพย์ในบ้านผู้เสียหายแต่ไม่สำเร็จจนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าก่อนถูกจับกุมจำเลยที่ 1 ไปติดต่อขอซื้อสวนของจำเลยที่ 3 ที่อำเภอคุระบุรีจังหวัดพังงา และจำเลยที่ 3 มีหลักฐานที่ดินเป็นใบ ภ.บ.ท. ชื่อนายสน ภูมิสารซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 3 แต่จำเลยที่ 3 ไม่ได้อ้างหลักฐานดังกล่าวในการพิจารณาของศาลชั้นต้นเพราะความหลงลืมของทนายจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงได้แนบหลักฐานดังกล่าวมาท้ายอุทธรณ์นั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามจำเลยที่ 3 ฎีกาดังกล่าวก็ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวได้ ดังนี้ แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้ร่วมลงมือกระทำการปล้นทรัพย์กับจำเลยและพวกอีก 2 คนดังกล่าว แต่การที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้วางแผนให้จำเลยที่ 2 กับพวกอีก 2 คน ไปลงมือกระทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กับพวกดังกล่าวคิดจะไปปล้นทรัพย์ผู้เสียหายอยู่ก่อนแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ก่อหรือผู้ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และพวกอีก 2 คน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานเป็นตัวการผู้ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองอย่างไรก็ดี การที่จำเลยที่ 3 เป็นผู้วางแผนในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ไปส่งจำเลยที่ 2 กับพวกอีก2 คน ลงจากรถยนต์กระบะไปทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงจึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 86 และลงโทษจำเลยที่ 3 ในความผิดฐานดังกล่าวได้ ไม่เกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 1 ตกลงไปกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และพวกอีก 2 คนดังกล่าว โดยเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะในคืนเกิดเหตุ และส่งจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 2 คนลงไปทำการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้วไปนั่งรับประทานอาหารกับจำเลยที่ 3 ที่ร้านอาหารสายธาร มิได้ร่วมลงมือกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ด้วย จำเลยที่ 1 จึงเป็นเพียงผู้สนับสนุนโดยให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ดังกล่าว และเหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3กระทำความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายด้วยหรือไม่ ถึงแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้มีการใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้กับนายวิสุทธิ์ บุญเสริม ผู้เสียหายด้วย และปรากฏตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.23ว่าในที่เกิดเหตุมีร่องรอยกระสุนปืนตามฝาผนัง ปลอกกระสุนปืนตกอยู่ที่พื้นและอาวุธปืน 1 กระบอก ตกอยู่นอกบ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่ผู้เสียหายก็มิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวไว้ในครอบครองและพาติดตัวมาใช้ในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้ และผู้เสียหายก็มิได้เบิกความยืนยันว่าคนร้ายคนใดเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิง ทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ให้การปฏิเสธในข้อหามีและพาอาวุธปืนตลอดมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3กระทำความผิดฐานร่วมกันมีและพาอาวุธปืนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายนอกจากนี้ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาข้างต้นเพียงว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินไปส่งจำเลยที่ 2 กับพวกอีก 2 คน ให้ลงไปทำการปล้นทรัพย์บ้านผู้เสียหายและกลับไปพบจำเลยที่ 2 และตำรวจตระเวนชายแดนชื่อหัวแดงภายหลังจากที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหายไม่สำเร็จและรับทั้งสองคนขึ้นรถแล้วมาถูกจับเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2กับพวกอีก 2 คน ใช้รถยนต์ดังกล่าวเป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ หรือเพื่อให้พ้นการจับกุม ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำความผิดในข้อหาร่วมกันมีและพาอาวุธปืนดังกล่าว และยังไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่ร่วมลงมือปล้นทรัพย์ครั้งนี้ผู้ใดเป็นผู้มีและใช้อาวุธปืนและยังฟังไม่ได้ว่าได้มีการใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบมาตรา 80 และ 86 เท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 3 ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าว ไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยมีหรือใช้อาวุธปืนและใช้ยานพาหนะและลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดดังกล่าวได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาโดยปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีมาด้วยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และเหตุนี้เป็นเหตุให้ลักษณะคดี จึงให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยและที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์นั้นเห็นว่าหนักเกินไป สมควรกำหนดโทษเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้การกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 86 ลงโทษจำคุก 8 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80 จำคุก 12 ปี จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสี่ ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 86 และมีความผิดฐานมีวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 และ 23 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง จำคุก 8 ปี ฐานมีวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 9 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้างเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3