โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัด จดทะเบียนตามกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ โจทก์มอบอำนาจให้นายธเนศ เปเรร่า ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 1 สั่งซื้อรถแทรกเตอร์ จำนวน 6 คัน พร้อมด้วยอุปกรณ์จากโจทก์ โจทก์จัดส่งสินค้าดังกล่าวมาให้จำเลยรับไว้แล้ว นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังสั่งซื้อเอกสารสิ่งพิมพ์ซึ่งจำเลยได้รับเอกสารดังกล่าวไว้แล้ว รวมมูลค่าสินค้าดังกล่าวทั้งสิ้นเป็นเงิน 41,869.63ปอนด์สเตอร์ลิง คิดเป็นเงินไทยในอัตราแลกเปลี่ยน 1 ปอนด์สเตอร์ลิงเท่ากับ 30.56 บาท เป็นเงินไทยรวมทั้งสิ้น 1,279,535.90 บาทโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้รวม หนี้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระในวันที่ 18 พฤษภาคม 2526 แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 19พฤษภาคม 2526 ถึงวันฟ้องเป็นค่าดอกเบี้ย 169,845.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินทั้งสิ้น 1,449,381.15 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน1,279,535.90 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสองให้การว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีใครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมาย 1 เป็นลายมือชื่อของผู้ใด มีอำนาจกระทำแทนโจทก์ได้หรือไม่อย่างไร ทำให้จำเลยทั้งสองไม่สามารถเข้าใจและให้การแก้คดีได้ถูกต้อง จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมจำเลยที่ 1 มีนายวีระ คุ้มทรัพย์ และนายถาวร หัสบำเรอ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อรถแทรกเตอร์จำนวน 6 คัน และไม่ได้สั่งซื้อเอกสารสิ่งพิมพ์จากโจทก์ตามฟ้องเอกสารท้ายฟ้องไม่มีกรรมการของบริษัทลงชื่อสองคนและไม่ได้ประทับตราของบริษัทจำเลยที่ 1 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ไม่ได้เป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน1,279,535.90 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2526 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้อง (วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2528) ไม่ให้เกิน168,845.25 บาท จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาแรกตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่าในปัญหาข้อนี้จำเลยทั้งสองให้การว่า หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีใครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ และลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องเป็นลายมือชื่อของผู้ใด มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้หรือไม่อย่างไร ทำให้จำเลยไม่สามารถเข้าใจและให้การแก้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมอันเป็นการต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมอย่างเดียว จำเลยทั้งสองหาได้ให้การถึงเหตุที่อ้างว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างไรไม่ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวแม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้ ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาต่อไป จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องหรือไม่ในปัญหาข้อนี้จำเลยฎีกาว่า ตามข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1กำหนดไว้ว่า จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทได้คือกรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกันและประทับตราสำคัญของบริษัทแต่การสั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง กรรมการของจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียวลงชื่อในจดหมายสั่งซื้อและประทับตรา จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1ทั้งการที่โจทก์นำสืบและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของกรรมการของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้องจากโจทก์ต่อมาโจทก์ได้จัดส่งสินค้าดังกล่าวมาให้จำเลยรับไว้แล้ว จำเลยให้การเพียงว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้สั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง โดยมิได้กล่าวถึงเรื่องที่โจทก์อ้างว่าได้ส่งสินค้ามาให้จำเลยรับไว้แล้ว เมื่อจำเลยไม่ให้การถึง จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับสินค้าดังกล่าวตามที่โจทก์ส่งมาให้แล้ว แม้การกระทำของกรรมการเพียงคนเดียวของจำเลยที่ 1 จะขัดกับข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ซึ่งระบุไว้ว่าต้องมีกรรมการสองคนลงชื่อร่วมกัน อันจะถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำของผู้แทนนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 75 ก็ตามแต่การสั่งซื้อสินค้าตามฟ้องของกรรมการดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำของตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่กระทำโดยปราศจากอำนาจ เมื่อโจทก์ส่งสินค้าดังกล่าวมาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้รับไว้แล้วโดยมิได้อิดเอื้อนหรือส่งสินค้าคืนโจทก์ จึงถือได้ว่าการรับสินค้าของจำเลยที่ 1 เป็นการให้สัตยาบันแก่การนั้น ย่อมผูกพันจำเลยที่ 1ในฐานะตัวการว่าได้สั่งซื้อสินค้านั้นอันจะต้องชำระราคาให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วม การที่โจทก์กล่าวในฟ้องเพียงว่า จำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์แต่นำสืบว่ากรรมการของจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนสั่งซื้อสินค้าให้จำเลยที่ 1 เช่นนี้ก็คงอยู่ในประเด็นตามที่โจทก์ฟ้อง หาใช่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นแต่อย่างไรไม่"
พิพากษายืน