คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับขอให้จำเลยชำระหนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 20,598,259.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 19,914,736.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 46774 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบถ้วน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 46774 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด แต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 เพื่อบังคับคดีชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องซึ่งเป็นนิติบุคคลเดียวกันกับโจทก์ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยและผู้คัดค้านนำมาจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ต่อผู้ร้อง ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิชอบที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ขอให้ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินจากการขายที่ดินดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่น
จำเลยและผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน คืนค่าส่งคำคู่ความ 400 บาท แก่จำเลย ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 จำเลยและผู้คัดค้านจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 350,000 บาท ต่อมาวันที่ 7 มีนาคม 2551 จำเลยและผู้คัดค้านจดทะเบียนขึ้นวงเงินจำนองครั้งที่หนึ่งรวมเป็นวงเงินจำนอง 857,000 บาท และเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์อีก 20,000,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 46774 พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้แล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 โจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 46774 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดแต่ได้เงินไม่พอชำระหนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 ของจำเลยและผู้คัดค้านเพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หนี้ตามสัญญากู้ที่จำเลยนำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 มาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้นั้น จำเลยได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ร้องได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า ผู้ร้องมีสิทธิรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้บุริมสิทธิหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 702 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้รับจำนองเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญและตามข้อตกลงต่อท้ายหนังสือสัญญาจำนอง ข้อ 1 ที่จำเลยและผู้คัดค้านจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงดังกล่าวไว้แก่โจทก์มีข้อความระบุว่า ผู้จำนองจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยที่มีอยู่ต่อผู้รับจำนองในเวลานี้หรือในเวลาหนึ่งเวลาใดภายหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่า นอกจากจะเป็นการจำนองประกันหนี้ตามสัญญาจำนองดังกล่าวแล้ว ผู้จำนองยังตกลงจำนองประกันหนี้ของจำเลยที่จะมีขึ้นต่อผู้รับจำนองในภายหน้าด้วย ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังคงค้างชำระหนี้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555 แก่ผู้ร้องจึงถือได้ว่าจำเลยยังมีหนี้ที่ต้องรับผิดต่อผู้ร้องตามสัญญาจำนองรายนี้อยู่ แม้จำเลยจะได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ที่จำเลยและผู้คัดค้านนำที่ดินแปลงดังกล่าวมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้ครบถ้วนแล้วก็ตาม ก็หามีผลทำให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไป ผู้ร้องในฐานะผู้รับจำนองจึงเป็นผู้มีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า สัญญาจำนองมิได้ครอบคลุมถึงหนี้ตามสัญญากู้ที่เกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ร้องนำมาฟ้องเป็นคดีนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นว่า อนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 61 ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ