โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2567, 2566, 2565 และ 2564 ของจำเลยทั้งสี่เฉพาะส่วนที่เป็นทางพิพาท ความยาว 73.49 เมตร ตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 446 ของโจทก์ หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน และให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนเสาปูน รั้วลวดหนาม และสิ่งกีดขวาง พร้อมทั้งปรับทางพิพาทให้โจทก์สามารถใช้ทางพิพาทได้ตามปกติ โดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสี่เอง หากจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์ดำเนินการแทนโดยให้จำเลยทั้งสี่เสียค่าใช้จ่ายให้แก่โจทก์ 100,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ถนนพิพาทในพื้นที่สีเหลืองและพื้นที่สีเขียวในแผนที่พิพาท ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 446 ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ไปจดทะเบียนภาระจำยอมดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่ และให้จำเลยทั้งสี่รื้อถอนเสาปูน รั้วลวดหนาม และสิ่งกีดขวาง พร้อมทั้งจัดทำทางพิพาทให้อยู่ในสภาพที่ใช้ได้ตามปกติ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นตามที่คู่ความไม่โต้เถียงกันว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 446 ร่วมกับนายอนุพงษ์ และนายกัมพล จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2567, 2566, 2565 และ 2564 ตามลำดับ ที่ดินของโจทก์กับของจำเลยทั้งสี่มีแนวเขตติดต่อกัน ทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสี่ปรากฏตามแนวเส้นสีเหลือง และไม่ใช่ทางสาธารณะ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์โดยอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณปี 2544 จำเลยทั้งสี่ให้สภาตำบลศรีพรานทำถนนดินระหว่างที่ดินของโจทก์และจำเลยทั้งสี่โดยงบประมาณของสภาตำบลศรีพราน ต่อมาก็นำงบประมาณมาทำเป็นถนนคอนกรีตเพื่อให้เป็นเส้นทางเดินของโจทก์ จำเลยทั้งสี่ และประชาชนทั่วไปเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่า องค์การบริหารส่วนตำบลศรีพรานเป็นผู้ก่อสร้างถนนพิพาทตั้งแต่ปี 2548 โดยนางกาญจนาเป็นผู้วัดทางพิพาทเมื่อปี 2547 จากการบรรยายฟ้องและนำสืบดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทโดยเข้าใจว่าเป็นทางสาธารณะมาตั้งแต่ต้น การใช้สิทธิผ่านทางพิพาทของโจทก์จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการใช้โดยปรปักษ์ต่อจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ตั้งทางพิพาท เพื่อให้ได้สิทธิภาระจำยอมแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 แม้หากจะฟังว่าโจทก์ใช้ทางพิพาทเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทก็ไม่เป็นภาระจำยอมเพื่ออสังหาริมทรัพย์แก่ที่ดินของโจทก์ ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้โจทก์จะเข้าใจว่าทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะก็ได้สิทธิภาระจำยอมแล้วนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ