โจทก์ฟ้องขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 900,000 บาท นับแต่วันที่ 15 กันยายน 2554 ที่โจทก์จ่ายเงินไป คิดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 11,250 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 911,250 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 900,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถตู้ หมายเลขทะเบียน ฮน 4130 รุงเทพมหานคร ไว้จากนางวรรณา มีระยะเวลาประกันภัย 1 ปี เริ่มต้นวันที่ 28 มกราคม 2554 สิ้นสุดวันที่ 28 มกราคม 2555 มีข้อตกลงคุ้มครองกรณีรถยนต์เสียหายหรือสูญหายจำนวนเงินเอาประกันภัย 900,000 บาท โดยมีธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประโยชน์ นายการุณ เช่ารถตู้ที่โจทก์รับประกันภัยจากผู้เอาประกันภัย มีนายกิตติ เป็นคนขับ นำมาใช้เป็นยานพาหนะในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อในจังหวัดนครราชสีมา จำเลยดำเนินกิจการโรงแรมใช้ชื่อว่า เทียมคีรี บูติค รีสอร์ท ระหว่างที่นายการุณเช่ารถตู้มาใช้นั้น นายการุณให้นายกิตติเข้าพักที่โรงแรมของจำเลยตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2554 ที่ห้องพักหมายเลข 0208 โดยจำเลยไม่คิดค่าที่พัก เนื่องจากนายการุณรู้จักกับนายประจักษ์ชัย บิดาของกรรมการจำเลย ซึ่งเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อสังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ต่อมาวันที่ 28 พฤษภาคม 2554 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยจัดให้นายกิตติเข้าพักที่ห้องหมายเลข 9001 เป็นห้องติดริมถนนโดยจอดรถตู้ไว้ที่หน้าห้องพักจนเวลาประมาณ 5 นาฬิกา ของวันที่ 29 พฤษภาคม 2554 นายกิตติตื่นขึ้นมาพบว่ากุญแจรถตู้และโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งวางอยู่ภายในห้องพัก และรถตู้ที่จอดไว้หน้าห้องพักสูญหายไป จึงแจ้งจำเลยและแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรโพธิ์กลาง จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2554 โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 900,000 บาท ให้แก่ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ผู้รับประโยชน์แล้ว
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คำว่า คนเดินทางหรือแขกอาศัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 หมายถึง บุคคลอื่นใดที่ใช้บริการเข้าพักในโรงแรมหรือโฮเต็ลหรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น ดังนี้ การที่นายกิตติเข้าพักอาศัยที่โรงแรมของจำเลย จึงถือได้ว่านายกิตติเป็นแขกอาศัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ส่วนจำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมประกอบกิจการเพื่อให้บริการแขกอาศัยโดยมีค่าตอบแทน ได้ยกเว้นไม่เรียกเก็บค่าตอบแทนจากนายกิตติก็หาทำให้นายกิตติมิใช่แขกอาศัยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่ ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยนำสืบมารับฟังได้ว่า รถตู้จอดอยู่ภายในบริเวณโรงแรมซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย แต่กรณีที่เจ้าสำนักโรงแรมจะต้องรับผิดเพื่อทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยที่สูญหายจะต้องพิจารณาด้วยว่า ความสูญหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสาม โจทก์มีนายพุทธินัย พนักงานของโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า ภายหลังเกิดเหตุได้สอบถามนายกิตติ ผู้ขับรถตู้ที่โจทก์รับประกันภัย นางวรรณา ผู้เอาประกันภัย และนายวัชพล พนักงานของจำเลยและได้ถ่ายภาพบริเวณหน้าห้องพักและภายในห้องพักที่นายกิตติเข้าพัก ตามบันทึกถ้อยคำ และภาพถ่ายตามบันทึกถ้อยคำของนายกิตติ ได้ความว่าวันเกิดเหตุ นายกิตติได้เข้าพักในห้องพักหมายเลข 9001 ที่อยู่ติดถนนโดยมีนายวัชพลพนักงานของจำเลยมาเปิดห้องพักให้ ก่อนเข้านอนนายกิตติได้ผลักหน้าต่างกระจกห้องเปิดแง้มไว้ ไม่ได้สังเกตว่าเหล็กขอล็อกหน้าต่างยังล็อกหน้าต่างอยู่หรือไม่ ภายในห้องพักมี 2 เตียงนอน นายกิตติถอดกางเกงที่มีกุญแจรถคล้องที่หูกางเกงด้านขวา พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่วางไว้ที่เตียงนอนอีกเตียงหนึ่งแล้วหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกครั้งปรากฏว่ากางเกง กุญแจรถตู้ รถตู้และโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้หายไป จึงได้แจ้งจำเลยและเจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจสอบห้องพักพบว่า กลอนหน้าต่างห้องพักไม่ได้ล็อก ตามภาพถ่าย และได้ความจากบันทึกถ้อยคำของนางวรรณาว่า ตรวจห้องพักไม่มีร่องรอยการงัดแงะ เห็นว่า ห้องพักหมายเลข 9001 เป็นห้องพักอยู่ชั้นล่างติดพื้นดิน มีหน้าต่างกระจกอยู่ไม่สูงจากพื้นดิน บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เปิดโล่งติดถนนสาธารณะบุคคลทั่วไปสามารถผ่านบริเวณดังกล่าวได้ นายกิตติเปิดหน้าต่างห้องพักไว้ เมื่อไม่ปรากฏร่องรอยงัดแงะที่ประตู เชื่อว่า คนร้ายเข้ามาภายในห้องพักทางหน้าต่างกระจกแล้วลักเอากางเกงของนายกิตติที่อยู่บนเตียงนอนซึ่งมีกุญแจรถตู้คล้องอยู่ที่หูกางเกงกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ไป ทั้งนายกิตติมิได้เก็บรักษากุญแจรถไว้ในที่มิดชิด จึงเป็นการง่ายที่คนร้ายจะลักเอากุญแจรถไป การที่รถตู้สูญหายไปจึงเป็นความประมาทของนายกิตติที่เปิดหน้าต่างห้องพักไว้ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าสำนักโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายดังกล่าว และที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจดูแลบริเวณพื้นที่และห้องพักให้เพียงพอจนเป็นเหตุให้มีคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ นั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่ออย่างใด อันเป็นผลโดยตรงทำให้รถตู้ที่โจทก์รับประกันภัยสูญหาย แต่ข้อเท็จจริงกลับฟังได้ว่า รถตู้สูญหายเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายกิตติผู้ขับรถตู้ที่โจทก์รับประกันภัย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยทำละเมิดต่อนางวรรณา ผู้เอาประกันภัย โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิผู้เอาประกันภัยมาฟ้องให้จำเลยรับผิดได้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ