คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาในคดีนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 ตัดสินว่า คำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ของศาลแพ่ง ระหว่างคุณหญิงพงา โจทก์ กับจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสด ผู้ตาย ที่จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงขายที่ดินตามคำฟ้องบางแปลงแก่คุณหญิงพงานั้นไม่มีผลผูกพันโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและไม่ได้เป็นคู่ความในคดีนั้นด้วย โจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิขอแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้ แล้วพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามคำฟ้องแก่โจทก์ที่ 1 สองในสามส่วน และที่เหลืออีกหนึ่งในสามส่วนให้แบ่งแก่โจทก์ที่ 1 อีกหนึ่งในห้าส่วน
หลังจากนั้นในคดีอื่นอีก 3 คดี ที่โจทก์ที่ 1 และผู้จัดการมรดกของโจทก์ที่ 1 ยื่นฟ้องจำเลย คุณหญิงพงา และบุคคลภายนอกเป็นจำเลย ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ของศาลแพ่ง ตลอดจนเพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ ที่สืบเนื่องมาจากการทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ศาลฎีกามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 ตัดสินว่า การทำสัญญาประนีประนอมยอมความของจำเลยในคดีดังกล่าวเป็นการจัดการทรัพย์มรดกตามหน้าที่ที่จำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 ไม่ใช่การกระทำนอกอำนาจและหน้าที่ของผู้จัดการมรดก แล้วพิพากษายกฟ้อง และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2278/2564 กับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2564 ก็ตัดสินในทำนองเดียวกันว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 มีผลผูกพันโจทก์ที่ 1 ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่สืบเนื่องมาจากสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว แล้วพิพากษายกฟ้องเช่นกัน
โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องเป็นใจความว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 ขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 ที่ตัดสินไว้ในคดีนี้ ทำให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจใช้สิทธิตามคำพิพากษาในคดีนี้ติดตามเอาที่ดินตามคำฟ้องคืนจากผู้อื่นได้ ขอให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีคำสั่งกำหนดว่าจะให้ถือตามคําพิพากษาศาลฎีกาคดีใด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายให้สิทธิโจทก์ที่ 1 ที่จะยื่นคำร้องให้วินิจฉัยในเรื่องนี้ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ประการแรกมีว่า ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า คำร้องของโจทก์ที่ 1 มีคำขอให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งกำหนดว่าจะให้ถือตามคําพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดกันคดีใด เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายใดกำหนดให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาดคำพิพากษาศาลฎีกาที่ขัดกัน ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะปฏิเสธไม่ส่งคำร้องนั้นแล้วมีคำสั่งยกคำร้องเสียได้ กรณีนี้เป็นเรื่องของอำนาจร้องจึงเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องตรวจและพิจารณาสั่งคำร้องไปตามลำดับชั้นศาล ศาลชั้นต้นหาได้มีคำสั่งยกคำร้องโดยก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยชี้ขาดว่าให้ถือตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีใดดังที่โจทก์ที่ 1 อ้างในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วส่งสํานวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งใหม่ให้รับคำร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ประการสุดท้ายว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 ขัดกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 ที่ตัดสินในคดีนี้หรือไม่ ปัญหานี้จัดเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี เนื่องจากโจทก์ที่ 1 มีเหตุขัดข้องในการบังคับคดีแบ่งที่ดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหานี้ให้ชัดเจน โดยศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัยไว้ แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อวินิจฉัยก่อน ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 252 เห็นว่า เมื่อพิจารณาผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีแล้วปรากฏว่าหาได้แย้งกันไม่ กล่าวคือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 พิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยกระทำกับผู้อื่น ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 ก็พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามคำฟ้องแก่โจทก์ที่ 1 โดยไม่ได้พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมเช่นเดียวกัน ทั้งนี้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2564 เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 เป็นเพียงการรับรองสิทธิของโจทก์ที่ 1 ที่มีอยู่ในที่ดินตามคำฟ้องเท่านั้น กล่าวคือ คำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 9536/2523 ของศาลแพ่งไม่มีผลผูกพันหรือกระทบถึงสิทธิของโจทก์ที่ 1 ที่มีอยู่ในที่ดินตามคำฟ้องนั่นเอง เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีไม่ได้ตัดสินไปคนละทาง แต่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2546 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ไม่อาจขอให้เพิกถอนนิติกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือของผู้ตายได้ หรือไม่อาจบังคับคดีแบ่งที่ดินโดยตรงได้อีกแล้ว เช่นนี้โจทก์ที่ 1 ก็ชอบที่จะเรียกร้องเอาเงินจำนวนที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายที่ดินตามคำฟ้องจากจำเลย ตามสัดส่วนที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2538 รับรองไว้ และหากการจัดการทรัพย์มรดกของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 อย่างใด โจทก์ที่ 1 ก็ยังชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยได้ดังที่คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2564 มีคำวินิจฉัยไว้ด้วย คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีไม่ได้ขัดกัน ฎีกาของโจทก์ที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ปัญหาที่ว่าจะให้ถือตามคําพิพากษาศาลฎีกาคดีใดย่อมไม่มี ทำให้ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ 1 ข้อที่ว่า กรณีจะให้ประธานศาลฎีกาหรือที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเป็นผู้ชี้ขาดความขัดกันของคำพิพากษาศาลฎีกาสองคดีนี้โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ได้หรือไม่อีกต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ