โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 4, 5, 6, 53, 82 พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 6, 8, 15, 27, 28, 31, 69, 70, 76 และจ่ายเงินค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษาในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 69 วรรคสอง ประกอบมาตรา 27 (2), 28 (2) พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 82 ประกอบมาตรา 53 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้า ปรับ 100,000 บาท ฐานประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 100,000 บาท รวมปรับ 200,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จ่ายค่าปรับที่จำเลยชำระในความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า บริษัท ร. ผู้เสียหาย เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานดนตรีกรรม ทั้งคำร้องและทำนอง งานสิ่งบันทึกเสียง และโสตทัศนวัสดุ เพลงคนกับหมา คิดถึงบ้าน จ.รอคอย ตังเก น้ำตาหอยทาก ฝนจางนางหาย นาแล้ง บ่อสร้างกางจ้อง ปักษ์ใต้บ้านเรา สาวมอเตอร์ไซค์ และอับดุลเลาะห์ จำเลยเป็นเจ้าของร้านบ้านกลางฟาร์ม เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 นายสิทธิชัย นายมานพ และนายนฤดีพนักงานของผู้เสียหาย เข้าไปใช้บริการที่ร้านบ้านกลางฟาร์ม ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2561 นายมานพ ผู้รับมอบอำนาจผู้เสียหาย เข้าร้องทุกข์ต่อร้อยตำรวจเอกชัยรัตน์ พนักงานสอบสวน ว่ามีการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายที่ร้านบ้านกลางฟาร์ม พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า และจัดตั้งหรือประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้อง โจทก์และจำเลยไม่ฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยกระทำความผิดฐานจัดตั้งหรือประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนายสิทธิชัยและนายมานพ เจ้าหน้าที่ลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย เบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560 เวลา 13.50 นาฬิกา นายสิทธิชัยและนายมานพเดินทางไปที่ร้านบ้านกลางฟาร์มซึ่งเป็นร้านคาราโอเกะ มีให้บริการร้องคาราโอเกะเป็นห้องส่วนตัว ในห้องดังกล่าวมีอุปกรณ์สำหรับร้องเพลงคาราโอเกะ ได้แก่ จอโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมซีพียู แป้นพิมพ์ ลำโพง ไมโครโฟน ซึ่งสอดคล้องกับภาพถ่าย ที่แสดงให้เห็นถึงจอโทรทัศน์ เครื่องซีพียู แป้นพิมพ์ และอุปกรณ์ร้องเพลงคาราโอเกะ ที่ถูกจัดสำหรับให้บริการลูกค้า โดยนางสาวเบญญาภาคนรักของจำเลย ก็เบิกความรับว่าภาพถ่าย เป็นภาพภายในร้านบ้านกลางฟาร์มจริง ทั้งนี้ ยังปรากฏหน้าจอโทรทัศน์ที่มีชื่อเพลง มิวสิควีดีโอคาราโอเกะเพลง และเนื้อเพลง อันสอดคล้องกับภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงที่บันทึกในแผ่นดีวีดี ซึ่งมีภาพพนักงานจำเลยขณะกำลังช่วยแกะสายไมโครโฟนให้แก่นายสิทธิชัยและนายมานพเพื่อร้องเพลงคาราโอเกะ บนจอโทรทัศน์ก็ปรากฏภาพเคลื่อนไหวเป็นมิวสิควีดีโอคาราโอเกะด้วย โดยไม่ปรากฏว่าพนักงานจำเลยทักท้วงว่ามิวสิควีดีโอคาราโอเกะที่นายสิทธิชัยและนายมานพกำลังร้องอยู่นั้นไม่ใช่มิวสิควีดีโอคาราโอเกะที่ร้านให้บริการแต่อย่างใด ดังนี้ กรณีจึงเชื่อได้ว่าร้านบ้านกลางฟาร์มของจำเลย มีการให้บริการร้องเพลงคาราโอเกะ โดยจัดให้มีเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกในการฉายเล่นหรือดูวีดิทัศน์ ซึ่งเป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่องในลักษณะคาราโอเกะที่มีภาพประกอบ อันเป็นการประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์ตามนิยามของคำว่า "ร้านวีดิทัศน์" ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าเครื่องคาราโอเกะของจำเลยมีเพียงเสียงดนตรีและตัวหนังสือวิ่งนั้นเป็นเพียงการเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ เมื่อร้านของจำเลยไม่เคยขอใบอนุญาตประกอบกิจการวีดิทัศน์ คดีจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานจัดตั้งหรือประกอบกิจการวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 82 ประกอบมาตรา 53 ฐานประกอบกิจการร้านวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ปรับ 100,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ