คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ซื้อเชื่อข้าวสารโจทก์ไป จึงขอให้จำเลยทั้ง ๒ ใช้เงินให้แก่โจทก์ ภายหลังถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำโดยลำพังมิได้รับอนุญาตจำเลยที่ ๒ แลว่าจำเลยที่ ๑ ได้แยกบ้านเรือนไปอยู่ต่างหาก ๗ ปีเศษแล้ว
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ เป็นภรรยาจำเลยที่ ๒ ได้ซื้อเชื่อข้าวสารโจทก์ไป ในข้อที่จำเลยที่ ๒ ว่าไม่ได้อยู่ด้วยกัน ๗ ปีเศษนั้นโจทก์สืบได้ว่าไม่ได้อยู่ร่วมบ้านเดียวกันเนืองนิตย์เท่านั้นเอง เพราะจำเลยมีที่อยู่หลายแห่ง บางครั้งก็เคยอยู่ร่วมกัน กิจการบ้านเรือนแม้จะมีผู้ดูแลแทนก็คงอยู่ในความควบคุมของจำเลย จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้ง ๒ อยู่ร่วมกินกันฉันทสามีภรรยาทั้งหลาย ไม่ได้สละละทิ้งกัน
ที่ว่าจำเลยที่ ๒ ได้อนุญาตหรือไม่นั้นเห็นว่าโจทก์ได้สงข้าวสารให้จำเลยมานานแล้ว บางครั้งโจทก์ไปขอรับชำระเงินที่บ้านจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็แลเห็น แลเคยถามโจทก์ ๆ เคยบอกว่ามาขอรับเงินค่าข้าว จำเลยที่ ๒ ยังพูดเป็นเชิงผัดว่ารอไปก่อนซิคุณหญิงไม่อยู่บางครั้งพูดว่าแล้วจะบอกคุณหญิงให้แลโจทก์ยังยืนยันว่าจำเลยที่ ๒ ไม่เคยบอกปัดหรือปฏิเสธความรับผิดในการกระทำของจำเลยที่ ๑ เลย พฤตติการณ์ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้อนุญาตจึงต้องรับผิดในการชำระหนี้ให้โจทก์ จึงพิพากษายืนตามศาลแพ่ง