โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางพวงรัตน์มารดา เดิมขุนประมวลธุราธรมีที่ดิน ๑ แปลง แต่ได้แบ่งโอนให้บุคคลต่างๆ แยกโฉนดเป็นแปลงๆ คือแปลงหมายเลข ๑๐๘ และ ๑๒๒ โอนให้ นางพวงรัตน์ มารดาโจทก์ แปลงที่ ๑๑๙ กับแปลงเดิม คือ หมายเลข ๖ โอนให้จำเลย การแบ่งดังกล่าว ทำให้ที่ดินแปลงหมายเลข ๑๒๒ ของนางพวงรัตน์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นอกจากผ่านที่ดินแปลงหมายเลข ๖ เจ้าของที่ดินเดิมจึงให้ทางเดินบนที่ดินแปลงหมายเลข ๖ กว้าง ๓ เมตร ๕๐ เมตร นางพวงรัตน์ได้ใช้เดินออกจากที่ดินไปสู่ทางสาธารณะเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว ทางเดินดังกล่าวจึงเป็นการจำยอมด้วยต่อมาจำเลยปิดกั้น จึงขอให้บังคับจำเลยเปิดทางบนที่ดินแปลงหมายเลข ๖
จำเลยให้การว่า ทางที่โจทก์อ้างไม่เคยเป็นทางเดินมาก่อนขุนประมวลธุราธรไม่เคยแบ่งไว้ในทางเดิน เจ้าของที่ดินแปลงหมายเลข ๑๒๑,๑๒๒ และ ๑๐๘ ไม่เคยใช้ทางนี้เมื่อที่ดินยังเป็นแปลงใหญ่อยู่ เจ้าของที่ดินเดิมใช้ทางเดินออกสู่ถนน ตรงมุมโฉนดที่ดินแปลงหมายเลข ๑๐๘ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เปิดทางจำเป็น เพราะที่ดินแปลงหมายเข ๑๒๒ กับ ๑๐๘ ของนางพวงรัตน์เป็นที่ดินติดต่อกัน ที่ดินแปลง ๑๐๘ มีทางออกสู่ถนนอยู่แล้วหากจะให้จำเลยเปิดทางชอบที่จะให้ชดใช้ค่าที่ดินแก่จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง นางพวงรัตน์มารดาโจทก์ยังมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงหมายเลข ๑๐๘ และ ๑๒๒ ซึ่งอยู่ติดต่อกัน แต่ที่ดินทั้งสองแปลงก็เป็นที่ดินคนละโฉนด จึงจะถือว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกันไม่ได้ เมื่อที่ดินแปลงหมายเลข ๑๒๒ ไม่มีทางออกไปสู่สาธารณะนอกจากจะผ่านที่ดินแปลงหมายเลข ๑๐๘ หรือแปลงหมายเลข ๖ ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดิมแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เปิดทางจำเป็นบนที่ดินแปลงเดิมแปลงใดแปลงหนึ่งที่แบ่งแยกไปได้ตามความจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๕๐ โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน จำเลยไม่มีสิทธิที่จะปิดทางพิพาทเป็นทางจำเป็นดังกล่าว
พิพากษายืน