โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 3,040,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,040,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 6 มีนาคม 2562) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 9 โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดคัดค้านว่า จำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงิน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเงินมีมูลหนี้มาจากการที่จำเลยเป็นหนี้การพนันทายผลฟุตบอลนั้น จำเลยนำสืบว่า จำเลยเล่นการพนันทายผลฟุตบอลออนไลน์ผ่านทาง www.SXX.com และ www.IXX.com กับโจทก์ซึ่งเป็นเจ้ามือ โดยมีเอกสารเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ข้อมูลที่ปรากฏตามเอกสารชี้ให้เห็นว่า SXX เป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้สมาชิกเล่นการพนันทายผลการแข่งขันฟุตบอลออนไลน์ ส่วนข้อความในโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551 จากผู้ใช้โทรศัพท์หมายเลข 08 6889 xxxx ซึ่งจำเลยบันทึกชื่อผู้ส่งว่า บอย มีลักษณะเป็นการสรุปยอดเงินที่จำเลยได้และเสียจากการเล่นพนันในเว็บไซต์ SXX และ IXX จากข้อความดังกล่าวส่อแสดงให้เห็นว่า นายบอยผู้แจ้งยอดเงินแก่จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับพนันทายผลฟุตบอลจากเว็บไซต์ดังกล่าวโดยเป็นฝ่ายเจ้ามือ และเอกสารของบริษัท อ. ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งปรากฏว่าหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวมีความเป็นมาตั้งแต่เดิมจดทะเบียนในนามบริษัท ก. ที่มีโจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการ แล้วมีการโอนผู้ใช้บริการต่อ ๆ มาจนมาเป็นในนามบริษัท ห. อันมีโจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการ ประกอบกับโจทก์เองก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าโจทก์มีชื่อเล่นว่าบอย พยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้จึงเชื่อมโยงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยมีพฤติการณ์ร่วมเล่นการพนันทายผลฟุตบอลกันมาก่อน อีกทั้งในข้อนี้จำเลยยังมีนางอรอุมา มารดาจำเลย และนางสาวอรวรรณ ภริยาจำเลย กับนางผกาพันธ์ มาเบิกความสนับสนุนถึงพฤติการณ์การเล่นการพนันระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งได้ความว่า จำเลยเคยเป็นหนี้พนันโจทก์เป็นเงินประมาณ 20,000,000 บาท โดยจำเลยเคยให้นางสาวอรวรรณไปขอยืมเงินจากนางผกาพันธ์มาใช้หนี้แก่โจทก์ 6,500,000 บาท เมื่อบิดาจำเลยทราบเรื่องจึงชำระหนี้แทนจำเลยด้วยการโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตีใช้หนี้ให้แก่นางผกาพันธ์ คำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสามดังกล่าวสอดรับกับสำเนาสัญญาขายที่ดินระหว่างนายสมชาติ บิดาจำเลย ผู้ขาย กับนางผกาพันธ์ ผู้ซื้อ ซึ่งได้มีการจดทะเบียนนิติกรรมตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2552 ก่อนจำเลยจะถูกฟ้องเป็นคดีนี้และเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับช่วงที่จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยเพิ่งปั้นแต่งขึ้นภายหลัง ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่โจทก์ฎีกาอ้างทำนองว่า พยานบุคคลของจำเลยล้วนเป็นญาติสนิทของจำเลยมีน้ำหนักน้อยและพยานเอกสารของจำเลยไม่อาจยืนยันได้ว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับการรับพนันนั้น เห็นว่า การพนันเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เจ้ามือและผู้เล่นย่อมจะปกปิดมิให้บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องล่วงรู้ จึงยากที่จะหาพยานหลักฐานที่แน่ชัดมาอ้างอิง นอกจากนี้การที่จะหาพยานคนกลางที่ไม่ได้รู้จักใกล้ชิดกับจำเลยมาเป็นพยานคงเป็นไปได้ยากเช่นกัน ดังนั้น พยานหลักฐานของจำเลยจึงหาได้ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังดังที่โจทก์อ้างมาในฎีกาไม่ ส่วนข้อนำสืบของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยกู้ยืมเงินไปจากโจทก์นั้น คงมีโจทก์เพียงลำพังปากเดียวเบิกความลอย ๆ เกี่ยวกับเงินที่ให้จำเลยกู้ยืมจำนวน 5,100,000 บาท โจทก์เบิกความว่าเป็นเงินที่ได้จากการประกอบธุรกิจและเงินที่ได้รับวงเงินเบิกเกินบัญชีจากสถาบันการเงิน และในส่วนของการส่งมอบเงินกู้แก่จำเลยนั้น ได้ความตามที่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ก่อนทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว จำเลยโทรศัพท์ติดต่อขอยืมเงินโจทก์ประมาณเดือนละ 4 ครั้ง ภายในช่วงระยะเวลาตามที่ระบุในสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์โอนเงินให้แก่จำเลยหลายครั้งรวมเป็นเงิน 5,100,000 บาท ดังนั้น หากมีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยด้วยวิธีการโอนเงินจริง โจทก์ย่อมอยู่ในวิสัยที่จะนำหลักฐานการโอนเงินมาแสดงต่อศาลเพื่อให้เห็นว่าได้มีการส่งมอบเงินกู้ให้แก่จำเลยจริง แต่โจทก์หาได้นำสืบให้ปรากฏทั้งที่หลักฐานดังกล่าวนับเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่จะสนับสนุนข้อกล่าวอ้างของโจทก์ได้ ทั้งเมื่อพิจารณาถึงเงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมรวมแล้วมีจำนวนมาก แต่ในการกู้ยืมเงินก็ไม่มีผู้ใดค้ำประกันหรือมีการเรียกหลักประกันใดจากจำเลยมายึดถือไว้ อีกประการหนึ่ง การให้จำเลยกู้ยืมเงินนั้น มิใช่ให้เป็นเงินก้อนจำนวน 5,100,000 บาท ไปเลยทีเดียว แต่เป็นการทยอยให้กู้ยืมเดือนละหลาย ๆ ครั้ง ในช่วงเวลาเกือบ 6 เดือน ดังที่ระบุในสัญญากู้ยืมเงิน จำนวนหนี้เพิ่มขึ้นมาตลอด หากเป็นการให้จำเลยกู้ยืมเงินไปเพื่อการลงทุนจริง ยากที่จะเชื่อว่าโจทก์จะยอมเสี่ยงให้จำเลยกู้ยืมเงินเรื่อย ๆ ต่อไปจนมียอดหนี้ถึง 5 ล้านบาทเศษ ทั้งที่ไม่มีหลักประกันให้มั่นใจแต่อย่างใด โดยเฉพาะเงินที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมไปเป็นเงินที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจและวงเงินเบิกเกินบัญชี แต่โจทก์กลับยอมให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เป็นระยะเวลายาวนานโดยไม่คิดดอกเบี้ย และเพิ่งมาทวงถามโดยฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 10 ปี นับแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงิน พฤติการณ์ของโจทก์ผิดวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจโดยทั่วไป ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์จะยอมแบกรับภาระดอกเบี้ยของต้นเงินจำนวน 5,100,000 บาทที่จะต้องเสียให้แก่สถาบันการเงินเป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 10 ปี ด้วยเหตุเพียงเพราะเป็นความสนิทสนมกันและโจทก์มุ่งหวังที่จะพึ่งพาอาศัยทางธุรกิจกับครอบครัวจำเลยในภายหน้าส่วนมูลเหตุที่โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินนั้น โจทก์อ้างว่าเนื่องจากจำเลยต้องการใช้เงินในการประกอบธุรกิจค้าน้ำยางพาราร่วมกับเพื่อน ซึ่งเพื่อนที่จำเลยอ้างถึงโจทก์เบิกความยอมรับว่ารู้จัก แต่โจทก์ก็หาได้อ้างหรือนำเพื่อนคนดังกล่าวมาเป็นพยานไม่ และไม่ได้นำสืบให้ปรากฏว่าจำเลยได้ประกอบธุรกิจดังกล่าวจริง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าครอบครัวของจำเลยมีฐานะมั่นคงซึ่งในข้อนี้โจทก์ก็รับมาในฎีกา เช่นนี้ จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจำเป็นจะต้องกู้ยืมเงินจากโจทก์ข้อนำสืบของโจทก์ล้วนมีข้อพิรุธผิดปกติวิสัยของผู้ให้กู้ เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยดังวินิจฉัยมานี้โดยพิเคราะห์ถึงเหตุผลและความเป็นไปได้ประกอบแล้ว เห็นได้ว่าพยานหลักฐานของจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ คดีรับฟังได้ว่า มูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินสืบเนื่องมาจากการที่จำเลยเป็นหนี้การพนันทายผลฟุตบอลแก่โจทก์ จึงหาก่อให้เกิดหนี้อันจะเรียกร้องกันได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 853 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ