โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 3107 ตำบลศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 93 ตารางวา ปัจจุบันมีชื่อจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อประมาณ 30 ปี มาแล้วนางเผือกได้ยกที่ดินเนื้อที่ 30 ตารางวา ในที่ดินโฉนดนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยเสน่หา โจทก์ยึดถือครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผยจนได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปทำการแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ครอบครองปรปักษ์ จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินเนื้อที่30 ตารางวา ที่โจทก์ครอบครองอยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องและบังคับให้จำเลยทั้งสองไปทำการแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่าเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2521 นางเผือกยกที่ดินโฉนดเลขที่ 3107 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยทั้งสองโจทก์ซึ่งขออาศัยนางเผือกอยู่ในที่ดินพิพาทได้ขอจำเลยทั้งสองอยู่อาศัยในบ้านและที่ดินพิพาทสืบต่อมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกามีใจความว่า โจทก์ไม่เคยอาศัยสิทธิของจำเลยทั้งสอง โจทก์ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทด้วยความสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ดังนี้ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับการครอบครองที่ดินพิพาท จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 30 ตารางวา ราคาเพียง 50,000 บาท และโจทก์ยื่นฎีกาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2535 อันเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 ใช้บังคับแล้ว โจทก์จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามมาตรา 248 วรรคแรกที่แก้ไขใหม่
พิพากษายกฎีกาของโจทก์