ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,250 บาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท ซึ่งอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท และจำเลยมิได้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ จำเลยฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมาย
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เพราะโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่า โจทก์ขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิอันใด และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เพราะโจทก์ฟ้องคดีภายหลังที่สัญญาเช่าตึกพิพาทระหว่างโจทก์กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์สิ้นกำหนดเวลาแล้ว เป็นการไม่ชอบนั้น จำเลยอ้างว่า ปัญหาแรกเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ส่วนปัญหาหลังเป็นปัญหาที่จำเลยไม่อาจยกขึ้นอ้างได้ในศาลชั้นต้นเพราะพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ การที่จำเลยมิได้ยกปัญหาทั้งสองขึ้นอ้างในศาลชั้นต้น จึงไม่เป็นเหตุต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518มาตรา 4 พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ก็จริง แต่ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะไม่ยกขึ้นวินิจฉัยได้ในเมื่อไม่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีหนังสือหมาย ล.1 เป็นหลักฐานการเช่าตึกพิพาทจึงยกเรื่องการเช่าขึ้นต่อสู้ได้นั้น พิเคราะห์แล้ว หนังสือหมาย ล.1 มีข้อความว่า"ได้รับเงิน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาท) เป็นค่ามัดจำตึกแถวเฉพาะชั้นล่างขนาด4.20 X 8.00 จากคุณสามารถไว้แล้ว โดยตกลงเช่าชั้นล่างเดือนละ 1,800 บาทเช่าชั้นบนเดือนละ 1,000 บาท ซึ่งจะได้ชำระเงินล่วงหน้าเท่ากับ 4 เดือนของค่าเช่า ทั้งนี้ภายในกำหนดเดือนเมษายน 2518" โดยบิดาโจทก์ลงนามรับมัดจำเห็นว่าหนังสือนี้เป็นหลักฐานฟังได้ว่า โจทก์ได้รับเงินมัดจำค่าเช่าตึกแถวจากจำเลยแล้ว แต่ได้ความตามคำจำเลยว่าบิดาโจทก์และจำเลยตกลงจะทำหนังสือสัญญาเช่ากันอีกภายหลังการให้มัดจำ ดังนี้ เมื่อไม่ได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือจำเลยจึงต้องห้ามมิให้ยกเรื่องการเช่าขึ้นต่อสู้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 538"
พิพากษายืน