โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาเป็นเงิน ๑๖๔,๗๐๑.๒๙ บาท และค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒๔ ต่อปี ในต้นเงิน ๒๒๔,๗๐๑.๒๙ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้ชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายประจำโชว์รูมสาขาบางนา นางสาวกัลยาพนักงานขายประจำสาขาได้ขายรถยนต์คันพิพาทของโจทก์ให้แก่นางสาวสมลักษณ์ แต่นางสาวสมลักษณ์ได้รับรถยนต์ไปแล้วยักยอกรถยนต์คันดังกล่าวไปโดยไม่มาทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ ในที่สุดโจทก์มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขาย ผู้ช่วยฝ่ายขายและพนักงานขายร่วมกันรับผิดชดใช้ราคารถยนต์ เมื่อหักส่วนของผู้ร่วมรับผิดแล้วคงให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชอบผ่อนใช้ค่าเสียหายเท่ากับราคารถยนต์ที่สูญหายในรูปของสัญญาเช่าซื้อตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ ไม่ได้เช่าซื้อรถยนต์และไม่ได้รับรถยนต์จากโจทก์ ขณะทำสัญญาเช่าซื้อ รถยนต์สูญหายไปแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ ๑ คืนรถยนต์คันพิพาทหรือใช้ราคารถยนต์ ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ใด ๆ และดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๖๗,๕๕๓.๒๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน ๑๑๙,๖๔๖.๒๘ บาท และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืน แต่ไม่เกิน ๑๐ เดือน กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑,๕๐๐ บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีชั้นอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายสาขาบางนามีหน้าที่บริหารงานการขาย เมื่อปี ๒๕๓๕ นางสาวกัลยา พนักงานขายประจำสาขาบางนา ได้ขายรถยนต์พิพาทให้แก่นางสาวสมลักษณ์ หลังจากส่งมอบรถยนต์พิพาท นางสาวสมลักษณ์ได้นำรถยนต์พิพาทหลบหนีไป โจทก์ได้ส่งพนักงานมาสอบสวนข้อเท็จจริง ในที่สุดให้จำเลยที่ ๑ และนางสาวกัลยาร่วมกันรับผิดในความเสียหายของรถยนต์พิพาทโดยให้นางสาวกัลยารับผิดเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ ๑ รับผิดทั้งหมดโดยให้ทำเป็นสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์และผ่อนชำระโดยหักเงินเดือนของจำเลยที่ ๑ ทุกเดือน ต่อมาจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ ๑๔ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองแล้ว เห็นว่า การทำสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวเป็นการประกันการทำงานที่ผิดพลาดของจำเลยที่ ๑ แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ยอมรับว่าความเสียหายเกิดขึ้นจากการมอบรถยนต์พิพาทให้นางสาวสมลักษณ์ไป แล้วนางสาวสมลักษณ์นำรถยนต์พิพาทหลบหนีไป เป็นความเสียหายที่เกิดจากความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกจ้างโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงกันให้จำเลยที่ ๑ รับผิดโดยทำเป็นสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์ จึงเป็นการทำสัญญาเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ ดังนั้นหนี้อันเกิดจากความรับผิดของจำเลยที่ ๑ จึงระงับสิ้นไปด้วยการแปลงหนี้ใหม่ และการที่จำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทก็เพื่อยอมรับผิดชำระหนี้ค่ารถยนต์พิพาทแก่โจทก์ ถือว่าโจทก์ได้ส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.