โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในฐานะเป็นทายาทของผู้ตายซึ่งกระทำละเมิดต่อโจทก์ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจาราณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายว่าเมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในปัญหาว่า จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ตายหรือไม่และโจทก์จำต้องพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 1ที่ 3 และที่ 4 ได้รับมรดกทรัพย์สินของผู้ตายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์จะมีอำนาจวินิจฉัยว่าผู้ตายไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ที่ว่า นายสงวนผู้ตายขับรถยนต์ของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหายอย่างไร และจำเลยทุกคนเป็นทายาทผู้รับมรดกมีความรับผิดแทนผู้ตายอย่างไรนั้น แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานมาสืบข้อเท็จจริงตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205และเมื่อศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ตามฟ้อง ก็อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยเหตุต่างกันได้ ไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 และ 240 เฉพาะอย่างยิ่งศาลอุทธรณ์ฟังว่าการกระทำของผู้ตายไม่เป็นละเมิด ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งศาลจะยกขึ้นมาอ้างโดยลำพังได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา 205 และศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องความรับผิดของจำเลยตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไปแต่อย่างใดศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.