คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ และต่อมามีคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ริบตู้เพลงคาราโอเกะ สมุดรายชื่อเพลง และไมโครโฟนพร้อมสายของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (2) และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ริบตู้เพลงคาราโอเกะ สมุดรายชื่อเพลง และไมโครโฟนพร้อมสาย ของกลาง คดีถึงที่สุด ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า ผู้ร้องมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องและดำเนินการในชั้นขอคืนของกลาง ผู้ร้องเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของนายอนันต์
ที่ผู้ร้องฎีกาทำนองว่า พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์บรรยายไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทรัพย์ของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดนั้น เห็นว่า คดีร้องขอคืนของกลางมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำร้องของผู้ร้องเพียงว่า ศาลจะสั่งคืนของกลางให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่เท่านั้น แต่ประเด็นดังกล่าวข้างต้นที่ผู้ร้องฎีกามานั้น เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ต้องยกขึ้นต่อสู้ในคดีหลัก ผู้ร้องจะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมาว่ากล่าวในชั้นร้องขอคืนของกลางไม่ได้ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่รับวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องในประเด็นดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อแรกว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงในของกลางหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพิจารณารายละเอียดคำพิพากษาที่ผู้ร้องอ้างถึง คงได้ความแค่เพียงจำเลยทั้งสองในคดีดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าได้ใช้วัตถุของแข็งเปิดกล่องใส่เงินภายในตู้เพลงคาราโอเกะแล้วเอาเงินในตู้ไป ทั้งเหตุลักทรัพย์ตามคำพิพากษาดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนเหตุในคดีนี้ถึง 2 ปีเศษ เมื่อผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานใดมาแสดงให้เห็นว่าตู้เพลงคาราโอเกะและของกลางอื่นในคดีนี้เป็นของผู้ร้อง ลำพังเพียงสำเนาหนังสือมอบอำนาจและสำเนาคำพิพากษา จึงยังไม่เพียงพอให้รับฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่า เหตุที่ผู้ร้องไม่เคยไปแสดงตนเป็นเจ้าของในของกลางตั้งแต่ชั้นสอบสวนจนศาลมีคำพิพากษาให้ริบของกลางนั้น เนื่องจากผู้ร้องมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จัดการดูแลแทนผู้ร้อง ซึ่งผู้ร้องสามารถกระทำได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย เห็นว่า ในชั้นไต่สวนคำร้องขอคืนของกลาง ผู้ร้องเบิกความตอบพนักงานอัยการโจทก์ถามค้านว่า ตั้งแต่ตู้เพลงคาราโอเกะถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไปผู้ร้องไม่เคยแสดงตนว่าเป็นเจ้าของจนกระทั่งยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้ คงมีเพียงจำเลยที่ 2 คนเดียวที่แสดงตนเป็นเจ้าของ โดยจำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของตู้เพลงคาราโอเกะมาตลอดโดยมิได้ยืนยันว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของตู้เพลงคาราโอเกะแต่อย่างใด และผู้ที่ทำสัญญากับเจ้าของร้านอาหารหรือจำเลยที่ 1 คดีนี้คือจำเลยที่ 2 สอดคล้องกับที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องเบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอคืนของกลางว่า มีการระบุในสัญญาเช่าตู้เพลงคาราโอเกะระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของตู้เพลงคาราโอเกะ ดังนี้ จึงเห็นได้ว่านอกจากผู้ร้องจะไม่เคยไปแสดงตนเป็นเจ้าของของกลางในคดีนี้มาก่อน ยังปรากฏด้วยว่าจำเลยที่ 2 กลับแสดงตนเป็นเจ้าของของกลางในคดีนี้เช่นกัน การที่ต่อมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจของผู้ร้องกลับเบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขอคืนของกลางว่าตู้เพลงคาราโอเกะ สมุดรายชื่อเพลง และไมโครโฟนพร้อมสาย ของกลาง ในคดีนี้แท้ที่จริงเป็นของผู้ร้องจำเลยที่ 2 เองเป็นเพียงผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องเท่านั้น ข้ออ้างของผู้ร้องจึงขัดแย้งกันเอง มีลักษณะเลื่อนลอยและไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เมื่อผู้ร้องไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนให้เห็นว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงในของกลาง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่แท้จริงนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และเมื่อได้ความดังนี้แล้วกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องในประเด็นว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องข้อสุดท้ายว่า ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินค่านำส่งหมายนัดและสำเนาคำร้องให้คู่ความทราบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้คดีร้องขอคืนของกลางเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญา แต่ค่าใช้จ่ายที่ผู้ร้องวางเพื่อใช้ในการส่งสำเนาคำร้องและหมายนัดให้แก่คู่ความไม่ใช่ค่าธรรมเนียมที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 252 บัญญัติไว้มิให้เรียก ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยในข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน