ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้เลิกบริษัทโกลบอล โค้ตติ้ง จำกัด และตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชี
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เลิกบริษัทโกลบอล โค้ตติ้ง จำกัด โดยตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีที่สมัครใจเป็นผู้ชำระบัญชี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้ฟังเป็นยุติว่า บริษัทโกลบอล โค้ตติ้ง จำกัด แบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าหุ้นละ 10 บาท จำนวน 300,000 หุ้น มีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ ผู้ร้อง ผู้คัดค้าน นายทวีเดช นายภัทรพล และนางอริยาหรือเกศนี ส่วนผู้ถือหุ้นอีก 7 คน คือ นางสาวสุนทรียา นางสาวสุชาดา นายชัยรัตน์ นายวิทูร นางสุนทรี นายสาโรจน์ และนางสาวปวีณา ถือหุ้นคนละ 1 หุ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทุกคนยกเว้นผู้ร้องเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ผู้คัดค้านเป็นกรรมการมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทฯ กระทำการแทนบริษัทฯ ได้ ปัญหาตามคำร้องที่ขอให้ศาลมีคำสั่งเลิกบริษัทด้วยเหตุการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียวและไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237 (3) นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า กรณีไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งเลิกบริษัทเพราะการค้าของบริษัททำไปก็มีแต่ขาดทุนอย่างเดียวและไม่มีทางหวังว่าจะกลับฟื้นตัวได้ตามมาตรา 1237 (3) ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาเกี่ยวกับข้อนี้ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า กรณีมีเหตุอื่นใดทำให้บริษัทฯ เหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ อันเป็นเหตุให้เลิกบริษัทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237 (5) ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาหรือไม่ เห็นว่า แม้ผู้ร้องจะมีนางอริยาเป็นพยานเบิกความสนับสนุนผู้ร้องว่า พยานมีข้อพิพาทกับผู้คัดค้านเกี่ยวกับสัดส่วนการถือหุ้นและมีคดีที่ฟ้องเรียกหุ้นคืนก็เป็นข้อพิพาทส่วนตัวระหว่างพยานกับผู้คัดค้าน ซึ่งไม่เกี่ยวกับการบริหารงานของบริษัท ทั้งในส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าผู้คัดค้านในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการทุจริตยักยอกเงินของบริษัท ผู้ถือหุ้นขัดแย้งกันและมีคดีที่ฟ้องร้องกล่าวโทษผู้คัดค้านจำนวนหลายคดีนั้น ก็ได้ความว่า ต่อมาผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทุกคนยกเว้นผู้ร้องซึ่งไม่ได้เข้าร่วมเจรจา สามารถตกลงระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งได้ตกลงแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นและบริหารงานร่วมกัน ซึ่งหากผู้ร้องไม่เห็นด้วยและยังคงเชื่อว่าผู้คัดค้านทุจริตยักยอกทรัพย์ของบริษัท ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้คัดค้านในฐานะผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเองได้ นอกจากนั้นข้อที่ผู้ร้องอ้างว่าบริษัทไม่สามารถจัดทำงบการเงินเพราะไม่เคยมีการประชุมผู้ถือหุ้นและงบการเงินของบริษัทเป็นเท็จก็ได้ความว่าบริษัทจดทะเบียนก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2544 ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาเกี่ยวกับการนำส่งงบการเงินของบริษัท จนกระทั่งปี 2556 เกิดข้อขัดแย้งกันระหว่างผู้ถือหุ้นและมีข้อโต้แย้งว่าผู้คัดค้านไม่สุจริตนำเงินของบริษัทไปใช้ เมื่อผู้คัดค้านเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ร้องและนางอริยาก็ไม่ให้ความร่วมมือและคัดค้านการประชุมเรื่อยมา ทั้งยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเพิกถอนการประชุมผู้ถือหุ้น จึงเป็นเหตุให้การจัดทำงบการเงินไม่แล้วเสร็จ เมื่อได้ความว่าบริษัทยังคงประกอบกิจการอยู่และนางอริยาได้ร้องเรียนเรื่องดังกล่าวต่อกรมสรรพากรซึ่งปัจจุบันได้มีการตรวจสอบแล้ว ลำพังเพียงเรื่องไม่นำส่งงบการเงินหรือการจัดทำงบการเงินไม่แล้วเสร็จ จึงไม่ส่งผลกระทบถึงขนาดทำให้บริษัทเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ ส่วนข้อที่อ้างว่าผู้คัดค้านทุจริตยักยอกทรัพย์ของบริษัทนั้น ก็เป็นเรื่องที่สามารถใช้กระบวนการทางศาลพิสูจน์ความผิดกันได้ต่อไป ทั้งหากผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการทำให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท บทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ก็ให้สิทธิผู้ร้องในฐานะผู้ถือหุ้นจะเอาคดีขึ้นว่ากล่าวแก่ผู้คัดค้านได้ ดังนั้นลำพังเพียงแต่ความขัดแย้งของผู้ถือหุ้นกับกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในกรณีนี้ย่อมไม่อาจส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการของบริษัทจนถึงขนาดจะเป็นเหตุทำให้บริษัทเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ร้องเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทเพียง 60,000 หุ้น จากจำนวนหุ้นบริษัททั้งหมด 300,000 หุ้น ไม่อาจชี้นำการประกอบธุรกิจของบริษัทได้ หากให้มีการเลิกบริษัทด้วยเหตุตามคำร้องของผู้ร้องย่อมไม่เป็นธรรมและส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ถือหุ้นรายอื่น พนักงาน ตลอดจนลูกจ้าง กรณียังถือไม่ได้ว่ามีเหตุอื่นใดอันทำให้บริษัทนั้นเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1237 (5) จึงไม่มีเหตุให้เลิกบริษัท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ