ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 1,727,471.71 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 5 ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 153,606.25 บาท พร้อมกับดอกเบี้ย โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชดใช้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกผ่อนชำระหนี้แก่โจทก์ มิได้ฟ้องให้รับผิดตามสัญญายืม เพราะไม่ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้คดีจึงบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 21 ว่าด้วยตั๋วเงิน โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินตามเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ให้แก่โจทก์ตามฟ้องและตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ ในประเด็นนี้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินตามสัญญาเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ออกให้ ตราที่ใช้ประทับในตั๋วไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ลายเซ็นในตั๋วก็ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการ มีบุคคลอื่นปลอมแปลงขึ้น ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นตั๋วสัญญาปลอมหรือไม่ นายปริญญา เพ็งเจริญ พยานโจทก์เบิกความว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 ปฏิเสธว่าตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม โจทก์จึงได้ส่งตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ไปให้กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ ผลการตรวจได้ความว่าน่าจะไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์จึงดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 5 นอกจากนี้ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 ว่า จำเลยที่ 5 ถูกพนักงานอัยการกรมอัยการเป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลอาญา ในข้อหาว่าปลอมตั๋วเงินและฉ้อโกงทรัพย์รายนี้ คดียังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอาญา พันตำรวจโทศรีวิทย์ เจียมเจริญ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ผู้ตรวจพิสูจน์ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าว ซึ่งเป็นพยานจำเลยเบิกความว่า ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ลายมือชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 และตราประทับก็ไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 ลายเซ็นชื่อของจำเลยที่ 2 ในตั๋วปรากฏว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 5 เป็นผู้เขียนซึ่งปรากฏตามเอกสารหมาย ล.37, ล.72 และโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 เป็นตั๋วปลอม จึงได้แจ้งให้พนักงานสอบสวนคดีแก่จำเลยที่ 5 จนถูกฟ้องต่อศาล ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 5 ก็ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงเชื่อได้ว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินปลอม โดยปลอมทั้งลายมือชื่อผู้ออกตั๋วและปลอมตราประทับซึ่งไม่ใช่ตราของจำเลยที่ 1 ใช้รูปคดีจึงปรับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1008 ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วใช้เงินเป็นลายมือชื่อปลอมก็ดี ก็เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดีท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลยใครจะอ้างอิงแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด ฉะนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินเอกสารหมาย จ.6 ถึง จ.15 ส่วนข้อยกเว้นตอนท้ายของมาตรา 1008 ที่ว่า เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือซึ่งปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ดังที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาให้นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องก็ดี คำให้การก็ดี มิได้กล่าวอ้างถึงข้อต่อสู้ตามข้อยกเว้นดังกล่าวไว้เลย คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยไปถึงว่าเมื่อฟังว่าลายมือในตั๋วปลอมแล้ว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จะต้องรับผิดเพราะเหตุที่อยู่ในฐานะเป็นต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้อีก เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นพิพาท ดังนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1634/2492 ระหว่าง นายปกเกล้า ศิริลักษณ์ โจทก์ บริษัทธนาคารมณฑล จำกัด กับพวก จำเลย ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 5,000 บาท