โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ 70,000 บาทอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายจำเลยไม่ชำระเงินกู้คืนภายในกำหนดขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินค่าเสียหายและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าจำเลยกู้เงินตามฟ้องและชำระดอกเบี้ยให้โจทก์เป็นเวลา 7-8 เดือนแล้วได้ชำระต้นเงินกู้คืนโจทก์โดยโจทก์ให้จำเลยส่งมอบแก่นางเล็ก จรูญวงศ์ซึ่งมากู้เงินจำนวนนี้จากโจทก์ไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 96,250บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินต้น70,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพิเคราะห์แล้วในประเด็นตามฎีกาของโจทก์นั้นแม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยให้การต่อสุ้และนำสืบมาก็เป็นเรื่องที่จำเลยมีเจตนาใช้เงินยืมแก่โจทก์โดยในตอนแรกจะนำเงินเข้าฝากธนาคารในสมุดฝากเงินของโจทก์แต่ในที่สุดที่จำเลยอ้างว่าได้มอบเงิน 70,000 บาทให้นางเล็กไปนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการชำระเงินยืมให้โจทก์โดยโจทก์สั่งให้มอบแก่นางเล็กแทนนั่นเองหาใช่เป็นกรณีแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 ไม่ ดังนั้นกรณีจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรค 2ที่บัญญัติว่าในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้นจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้วหรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วคดีนี้ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์จำเลยรับกันได้ความว่าจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 แต่จำเลยไม่มีหลักฐานตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวแต่อย่างใด ดังนั้นจำเลยจะนำสืบการใช้เงินหาได้ไม่จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.