โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 152, 153, 157, 161, 162, 264, 265, 352, 353, 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 7,8, 9, 13 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2514 ข้อ 2 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 103,627 บาทแก่กรมชลประทานด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และ 162 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 161 อันเป็นบทหนัก จำคุก 3 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน และ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เบียดบังยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 152,153 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาพ.ศ. 2502 มาตรา 3, 7, 8, 9 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 147 อันเป็นบทหนักจำคุก 5 กระทง ๆ ละ 5 ปี รวมจำคุก 25 ปี รวมทั้งสิ้นให้จำคุกจำเลย 26 ปี6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 103,627 บาทแก่กรมชลประทาน
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นตรี ตำแหน่งนายช่างควบคุมหน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกง จังหวัดกาฬสินธุ์ สังกัดกรมชลประทาน มีหน้าที่ควบคุมดูแลการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกง จัดซื้อรักษาพัสดุและน้ำมันเชื้อเพลิงและมีหน้าที่ควบคุมการใช้จ่ายเงินตลอดทั้งเบิกเงินและจ่ายเงินให้แก่คนงาน โดยกรมชลประทานมีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยไปทำหน้าที่นายช่างควบคุมหน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกง นายเคนน้อยพนักงานบัญชีเป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าวปลอม โดยนายเคนน้อยนำบัญชีรายชื่อคนงานซึ่งทำงานแต่ละวันในเดือนพฤศจิกายน 2515 เดือนธันวาคม 2515 และเดือนมกราคม2516 โดยมีลายมือชื่อคนงานด้วยอันเป็นบัญชีรายชื่อและลายมือชื่อปลอม ตามเอกสารหมาย จ.9/10 ถึง จ.9/51 ไปให้นางสาวประภาลูกจ้างชั่วคราวซึ่งทำหน้าที่เป็นเสมียนลงทะเบียนค่าแรงเพื่อเป็นหลักฐานว่าบุคคลซึ่งมีชื่อในเอกสารดังกล่าวทำงานที่หน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงใน 3 เดือนดังกล่าว แล้วให้นางสาวประภากรอกรายชื่อบุคคลดังกล่าวในใบเบิกค่าแรงแบบ ช.ป.6 นางสาวประภาจึงกรอกรายการและรายชื่อบุคคลดังกล่าวรวมทั้งอัตราค่าจ้างในเอกสารหมาย จ.9/1 ถึง จ.9/9 แล้วนายเคนน้อยก็ปลอมลายมือชื่อบุคคลดังกล่าวตรงช่องลายมือชื่อผู้รับเงินและลงชื่อว่ากรอกถูกต้องแล้ว ต่อจากนั้นนายเคนน้อยก็นำเอกสารหมาย จ.9/1 ถึง จ.9/9 ไปให้จำเลย จำเลยลงชื่อในช่องผู้เบิกและช่องสมควรจ่ายให้ แล้วจำเลยส่งเอกสารหมาย จ.9/1 ถึง จ.9/9 ไปเบิกค่าแรงประจำเดือนพฤศจิกายน 2515 เป็นเงิน 10,560 บาท ค่าแรงประจำเดือนธันวาคม 2515 เป็นเงิน 10,080 บาท และค่าแรงประจำเดือนมกราคม 2516 เป็นเงิน 11,040 บาท เมื่อได้รับเงินค่าแรงที่เบิกไปตามเอกสารดังกล่าวแล้ว จำเลยก็ลงชื่อเป็นผู้จ่ายเงินและนายเคนน้อยลงชื่อเป็นพยานในเอกสารดังกล่าว จำเลยซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสงวนวงษ์กาฬสินธุ์เพื่อใช้ในราชการในหน่วยงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกง คือน้ำมันเบนซิน 16,000 ลิตร และน้ำมันดีเซล 30,000 ลิตร ปรากฏเอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 แต่ไม่ได้รับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อไปคงฝากไว้ที่ห้างฯ เพราะที่หน่วยงานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงไม่มีที่เก็บน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อต้องการใช้ก็จะไปรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากห้างฯ ดังกล่าวเป็นคราว ๆ ตามใบนำส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของห้างฯ ดังกล่าว ปรากฏว่าได้ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อให้หน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงครบถ้วนแล้ว แต่ความจริงหน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงได้รับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ครบโจทก์จึงฟ้องว่าจำเลยเบียดบังน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนที่ขาดไปคือน้ำมันเบนซิน11,800 ลิตร ราคา 22,774 บาท และน้ำมันดีเซล 14,800 ลิตร ราคา 15,688 บาท จำเลยอ้างว่าจำเลยมารับงานนายช่างควบคุมหน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงจากนายสร่าง เมื่อจำเลยมารับงานนั้น นายสร่างบอกจำเลยว่าหน่วยงานก่อสร้างเก็บน้ำห้วยแกงเป็นหนี้ห้างฯ อยู่ 70,000 บาทเศษตามเอกสารหมาย ล.18 จำเลยจึงเอาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ซื้อไว้นั้นหักชำระหนี้ให้แก่ห้างฯ จนหมดสิ้น
ศาลฎีกาเชื่อว่า จำเลยร่วมกับนายเคนน้อยปลอมและใช้เอกสารปลอมกับเบียดบังเอาเงินค่าแรงที่เบิกมาไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว
วินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยอาจเอาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ขาดจำนวนไปชำระหนี้ที่ก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงเป็นหนี้ห้างฯ ตั้งแต่ก่อนที่จำเลยจะมารับงานชำระหนี้ให้แก่ห้างฯ ดังกล่าวก็ได้ การที่จำเลยไม่ตั้งงบประมาณและเบิกเงินจากงบประมาณมาชำระหนี้ให้แก่ห้างฯ กลับเอาน้ำมันเชื้อเพลิงของหน่วยก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยแกงไปชำระหนี้ให้แก่ห้างฯ ดังกล่าว เป็นเพียงปฏิบัติผิดระเบียบของทางราชการเท่านั้น ไม่เป็นการเบียดบังน้ำมันเชื้อเพลิงตามฟ้อง การที่จำเลยปลอมใช้เอกสารปลอมและรับรองข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารดังกล่าวข้างต้น ก็โดยมีเจตนาเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังเงินค่าแรงที่เบิกมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 161, 162(1) และ 147 รวม 3 กระทง ให้ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 15 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 31,680 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์