โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้มีดฟันนายแสวงบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 256 และเพิ่มโทษตาม มาตรา 72
จำเลยให้การต่อสู้ว่า ฟันนายแสวงทีหนึ่งเพื่อป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ
ในการพิจารณา โจทก์จำเลยตกลงแถลงขอให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีนี้ โดยถือเอาคำให้การพยานที่ได้สืบมาแล้วในคดีแดงที่ 1667,1668/2488 นั้น เป็นหลักวินิจฉัยต่อไปโดยโจทก์ขออ้างเอาคำให้การของนายยาว นายแสวงที่ให้การแล้วเป็นพยาน และขอสืบนายแดงแพทย์ส่วนจำเลยจำเลยขอสืบนายแป๋งปากเดียว นอกนั้นขอถือเอาคำให้การของพยานในสำนวนก่อนเป็นพยานเพราะเป็นมูลกรณีเดียวกัน เมื่อสืบพยานสองคนนั้นแล้ว ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยทำร้ายร่างกายนายแสวงจริงจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายอาญามาตรา 256, 72
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลจะยกเอาคำพยานในคดีเรื่องก่อนมาลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะไม่ได้กระทำต่อหน้าจำเลยในคดีนี้ และแม้จะถือว่า จำเลยมีหน้าที่นำสืบในเรื่องป้องกัน พยานของจำเลยที่สืบเพียงปากเดียวนั้น โจทก์ไม่มีพยานหักล้าง ก็ต้องรับฟังว่าจำเลยได้ทำร้ายนายแสวงโดยเจตนาป้องกันทรัพย์พอสมควรแก่เหตุไม่ควรรับอาญา จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์จำเลยต่างนำสืบพยานบุคคลมาสืบแต่เพียงฝ่ายละ 1 ปาก ซึ่งไม่มีน้ำหนักประการใด และเมื่อพยานที่นำสืบเป็นเช่นนั้นแล้ว จะเชื่อเอาแต่เพียงคำพยานในคดีอาญาของศาลจังหวัดนครราชสีมาแดงที่ 1667,1668/2488 มาฟังว่าจำเลยกระทำผิดหาได้ไม่ จริงอยู่จำเลยให้การรับว่าได้ทำร้ายผู้เสียหายจริง แต่จำเลยก็ได้ต่อสู้ว่าทำไปในการป้องกันตัว จึงไม่ใช่ให้การรับสารภาพตามฟ้องดังที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 เพราะฟ้องของโจทก์มีความหมายว่าจำเลยได้กระทำความผิดอันควรต้องรับโทษตามกฎหมาย จะฟังเอาคำรับของจำเลยแต่เพียงบางส่วนไปลงโทษจำเลยหาได้ไม่ โจทก์จึงคงมีหน้าที่นำสืบตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174 เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยควรรับโทษ
จึงพิพากษายืน