โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 176,000 บาทยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หากติดค้างชำระดอกเบี้ยถึงหนึ่งปี ยินยอมให้โจทก์ทบดอกเบี้ยที่ค้างชำระเข้าเป็นต้นเงินณ วันที่ค้างชำระครบหนึ่งปีโดยยินยอมเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินต้นใหม่ในอัตราเดียวกัน หากจำเลยทั้งสองผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งจำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นกว่าข้อตกลงได้ไม่เกินอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งล่วงหน้า ในการกู้ยืมเงินดังกล่าว จำเลยทั้งสองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 56398 ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ มาจำนองไว้เป็นประกันโจทก์คิดดอกเบี้ยครั้งแรกจากจำเลยอัตราร้อยละ 9.5 ต่อปี แต่เนื่องจากจำเลยผิดนัดโจทก์จึงปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นรวม14 ครั้ง ครั้งสุดท้ายโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 208,281.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงิน 165,385.97 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสองขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จนครบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 173,883.70 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 165,385.97 บาท นับจากวันที่ 6 กรกฎาคม 2540จนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 56398 ตำบลถนนหัก อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดนำเงินที่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 เป็นเบี้ยปรับหรือไม่เห็นว่า เบี้ยปรับคือสัญญาที่ลูกหนี้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรแต่หนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 1 มีใจความชัดเจนว่าผู้กู้ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี หนังสือสัญญาจำนองที่ดินและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9ก็มีใจความว่าผู้จำนองตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปีเช่นกัน จากข้อสัญญาดังกล่าวไม่ว่าจำเลยทั้งสองจะผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเอาจากจำเลยทั้งสองอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาได้อยู่แล้ว ข้อตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.7 ข้อ 1ที่ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จึงไม่ใช่เบี้ยปรับแม้ทางปฏิบัติโจทก์จะผ่อนผันให้โดยคิดดอกเบี้ยไม่ถึงร้อยละ19 ต่อปี โดยเริ่มแรกคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 9.5 ต่อปี และเมื่อจำเลยผิดนัดโจทก์ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจนถึงร้อยละ 19 ต่อปีก็ไม่ทำให้อัตราดอกเบี้ยในส่วนนี้ซึ่งไม่ใช่เบี้ยปรับกลายเป็นเบี้ยปรับแต่อย่างใด ส่วนข้อตกลงตามสัญญากู้เงินข้อ 3 ที่มีใจความว่าหากผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้ตามที่กำหนดไว้ในข้อ 2ไม่ว่างวดใดงวดหนึ่งผู้กู้ยินยอมให้ผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กำหนดในข้อ 1 เมื่อใดก็ได้นั้น หมายถึงกรณีผู้กู้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ที่ต้องชำระเป็นรายเดือน แล้วผู้ให้กู้เพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 19 ต่อปี ดอกเบี้ยส่วนที่เกินกว่าร้อยละ 19 ต่อปีเท่านั้นที่เป็นเบี้ยปรับซึ่งถ้าศาลเห็นว่าดอกเบี้ยส่วนที่เกินกว่าร้อยละ 19 ต่อปี สูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ แต่จะลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 19 ต่อปีไม่ได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นลดอัตราดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ลงมาเหลือเพียงร้อยละ 15 ต่อปี โดยอ้างว่าเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน173,883.70 บาท แก่โจทก์อุทธรณ์โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินเพิ่มอีก 34,398.01 บาท เต็มตามฟ้องโจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 860 บาท ให้คืนส่วนที่เกินมา 4,347.50 บาทแก่โจทก์"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ19 ต่อปี แต่ไม่ให้เกินอัตราตามที่กระทรวงการคลังอนุญาตให้โจทก์เรียกเก็บได้ในต้นเงิน 165,385.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมา 4,347.50 บาท ให้แก่โจทก์