คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 153,234.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำเสร็จ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โดยคู่ความทราบนัดแล้วไม่มาศาล ศาลชั้นต้นถือว่าคู่ความทราบคำพิพากษาในวันที่ 18 กันยายน 2539 ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 ต่อมาโจทก์ตกเป็นผู้ล้มละลาย ผู้ร้องประมูลซื้อสิทธิเรียกร้องของผู้ล้มละลายรวมทั้งสิทธิในคดีนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
วันที่ 24 สิงหาคม 2549 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ผู้ร้องจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับ
ต่อมาวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ผู้ร้องยื่นคำขออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาและอ่านให้คู่ความฟัง เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2539 โจทก์ต้องบังคับภายใน 10 ปี นับแต่วันดังกล่าว แต่ผู้ร้องยื่นขอหมายบังคับคดีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2549 ซึ่งพ้นกำหนดระยะเวลาบังคับคดี จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องยื่นคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกำหนดระยะเวลาบังคับคดีหรือไม่ และมีเหตุต้องขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า กำหนดระยะเวลาบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งได้ภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นหมายถึงวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด คดีนี้ถือว่าศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2539 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 153,234.55 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีนี้จึงไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง แต่คู่ความยังมีสิทธิฎีกาในข้อกฎหมายหรือขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสี่ เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา คำพิพากษาจึงถึงที่สุดในวันที่ 18 ตุลาคม 2539 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ซึ่งจะครบกำหนดสิบปีในวันที่ 18 ตุลาคม 2549 ยังอยู่ภายในระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอของผู้ร้องดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และการร้องขอให้บังคับคดีซึ่งต้องกระทำภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น เป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลมีอำนาจที่จะออกคำสั่งขยายหรือย่นระยะเวลาดังกล่าวได้ แต่จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 คดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีของผู้ร้องโดยไม่ชอบ นับได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษ และกรณีต้องมีการบังคับคดีต่อไป แต่ระยะเวลาบังคับคดีได้ล่วงพ้นไปแล้ว อันเป็นผลมาจากศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยไม่ชอบ เป็นเหตุให้ผู้ร้องต้องอุทธรณ์ฎีกาต่อมาทำให้ไม่อาจขอขยายระยะเวลาบังคับคดีได้ก่อนสิ้นระยะเวลานั้น จึงเป็นกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย เพื่อให้การบังคับคดีสามารถดำเนินการต่อไปได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องเป็นเวลา 30 วัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของผู้ร้อง และให้ขยายระยะเวลาบังคับคดีให้แก่ผู้ร้องต่อไปอีก 30 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ